บรรยากาศเสียงคุยจอแจ และการถามไถ่สารทุกข์สุกดิบกันระหว่างซื้อของ สิ่งเหล่านี้ทำให้ “โชห่วย” เป็นมากกว่าแค่ร้านค้า แต่เปรียบเสมือน “ศูนย์กลางของชุมชน” ที่เต็มไปด้วยเสน่ห์ 

แต่ทุกวันนี้เรามองไปทางไหนก็เจอแต่ร้านสะดวกซื้อ เปิดไฟสว่างจ้าตลอด 24 ชั่วโมง พร้อมโปรโมชันลดแลกแจกแถมที่เปลี่ยนใหม่ทุกสัปดาห์ คำถามคือ ร้านชำที่อยู่ทุกวันนี้ จะไปต่อไหวไหม ?

จากการรวบรวมข้อมูลสถิติปี ค.ศ. 2566-2567 ร้านโชห่วยในไทยมีมากถึง 400,000 กว่าร้านค้า แม้จำนวนจะเยอะกว่าร้านสะดวกซื้อที่มีจำนวนราว ๆ 20,000 กว่าสาขา แต่ยอดขาย และอำนาจการต่อรองกลับสวนทางกันอย่างสิ้นเชิง กลายเป็นเรื่องที่น่าเศร้าที่ลุง ๆ ป้า ๆ ที่เปิดร้านขายของชำใกล้บ้านเรานั้น เริ่มหมดหวัง รอให้ร้านหมดลมหายใจไปอย่างช้า ๆ

3 ปัญหาใหญ่ที่ทำร้านโชห่วยไปต่อไม่ไหว

หลายร้านบ่นเป็นเสียงเดียวกันว่า ค้าขายลำบาก อาจไม่ได้มาจากแค่พิษเศรษฐกิจที่รุมเร้าเพียงอย่างเดียว แต่สิ่งที่กำลังกัดกินร้านโชห่วยอยู่เงียบ ๆ นั่นก็คือ

  1. ต้นทุนสินค้าไม่คงที่ : ร้านโชห่วยมักซื้อของผ่านยี่ปั๊วหรือพ่อค้าคนกลาง ทำให้ต้นทุนสูง แถมยังขาดระบบเช็กสต๊อก ต้องคอยเดินดูของเอง ทำให้เกิดปัญหาของขาดไม่รู้ตัว ของล้นจนหมดอายุ แม้ใจอยากจะขายถูกเพื่อสู้กับรายใหญ่แค่ไหน ก็ทำไม่ได้เพราะต้นทุนที่บานปลายค้ำคออยู่
  2. อำนาจการต่อรองต่ำ : ด้วยยอดการสั่งซื้อทีละน้อย ทำให้ร้านโชห่วยได้ราคาทุนสูงกว่าร้านรายใหญ่ที่สั่งทีละมหาศาล เพราะไม่สามารถจัดโปรโมชันลดแลกแจกแถมเพื่อดึงดูดลูกค้าได้เหมือนคู่แข่ง บางคนจมทุนไปกับหน่วยรถที่เข้ามาเสนอขายสินค้า ยัดเยียดของแถมที่ไม่ได้คุณภาพมาให้ ต้องจำใจขายก่อนสินค้าจะหมดอายุ
  3. ปรับตัวไม่ทันพฤติกรรมผู้บริโภค : ในขณะที่ลูกค้ามองหาความสะดวกสบาย อยากได้สินค้าตลอด 24 ชั่วโมง หรือบริการส่งถึงบ้าน แต่ร้านโชห่วยส่วนใหญ่ยังคงรูปแบบการขายแบบเดิม ๆ คือรอให้ลูกค้าเดินมาหา ซึ่งอาจไม่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ที่เปลี่ยนไปของคนยุคใหม่อีกแล้ว

Pengkie มากกว่าแพลตฟอร์มแต่คือความเข้าใจ

ผู้เล่นรายใหม่ในตลาดค้าปลีกผุดขึ้นมาตลอดเวลาอย่างกับดอกเห็ด แต่ผู้เล่นเดิมก็ทยอยปิดตัวลงอย่างช้า ๆ ท่ามกลางวิกฤตนี้ แพลตฟอร์ม Pengkie (เพ้งกี้) จึงได้เข้ามาช่วยเชื่อมโยงระหว่างโรงงาน ผู้ผลิตสินค้า เข้ากับร้านค้าปลีกรายย่อย โดยมีหัวเรือใหญ่คือ คุณเพ้ง สุขชัย เหลืองวงศ์งาม ผู้เติบโตมากับธุรกิจครอบครัวโรงงานผลิตยาจุดกันยุง “ตรามะลิขาว” และเคยคลุกคลีอยู่กับหน่วยรถ (Van Sales) ที่ต้องขับตระเวนส่งของตามร้านโชห่วยทั่วประเทศ ทำให้เห็นปัญหา ว่า “ทำไมระยะทางระหว่างโรงงาน/แบรนด์ > ร้านค้า > ผู้บริโภค ถึงยุ่งยากขนาดนี้ ?” 

จึงเป็นจุดเริ่มต้นของ Pengkie แพลตฟอร์ม ที่เข้ามาช่วยโชห่วยอุดรอยรั่วจากปัญหาสินค้าต้นทุนสูง เชื่อมต่อโรงงานผู้ผลิตให้เจอกับร้านค้าปลีกโดยตรง ได้ต้นทุนที่ถูกลง และวางขายได้ฟรีไม่เก็บค่า GP 

หัวใจหลักของ 3 แพลตฟอร์ม

  1. ผู้ผลิต (Vender) : สำหรับผู้ผลิต/ผู้จัดจำหน่าย ช่วยให้ลงสินค้าและโปรโมชันแบบ Real-time, ทำโปรโมชันกับร้านค้าได้โดยตรง ทำให้แบรนด์เห็นยอดขายรายพื้นที่ได้ละเอียดแบบ Direct-to-Shop
  2. ร้านค้า (Shop) : สำหรับร้านค้า เปรียบเสมือนระบบ POS ส่วนตัว ช่วยจัดการออร์เดอร์ สต๊อก และเข้าร่วมแคมเปญจากแบรนด์ได้ง่าย ๆ ผ่านมือถือ
  3. ลูกค้า (Customer) : สำหรับผู้บริโภค ช่วยให้คนในชุมชนค้นหาร้านโชห่วยใกล้บ้านและสั่งซื้อสินค้าได้ เพิ่มโอกาสการขายแบบ Delivery ให้ร้านชำ

Pengkie Van Sales Solution 

ปกติแล้ว แบรนด์เล็ก ๆ จะส่งของเข้าร้านโชห่วยทีหนึ่ง ต้องลงทุนทำหน่วยรถเอง ซึ่งแบกรับต้นทุนสูงถึง 30,000-45,000 บาทต่อเดือน แถมยังวิ่งได้แค่เส้นทางหลัก ร้านในซอยลึก ๆ มักถูกมองข้าม 

กับบริการ Pengkie Van Sales Solution ที่ผสานโลกออฟไลน์และออนไลน์เข้าด้วยกัน

  • ต้นทุนที่จับต้องได้ : เริ่มต้นเพียง 9,900 บาท/เดือน 
  • เข้าถึงทุกซอกซอย : เข้าเยี่ยมร้านค้า 180-200 ร้าน/เดือน พร้อมทีมเชียร์ขายที่ทำหน้าที่แนะนำสินค้าแทนเจ้าของแบรนด์ 
  • สั่งได้ 24 ชั่วโมง : ร้านค้านอกเส้นทางหรือร้านที่รถเข้าไม่ถึง สามารถสั่งซื้อผ่าน Pengkie Platform ได้ตลอด 24 ชั่วโมง โดยไม่ต้องรอรอบรถวิ่งมาหา 
  • ค่าส่งถูกกว่า : คิดค่าส่งแบบ Flat Rate เพียง 10 บาทต่อ SKU (แพ็ก/ลัง) ไม่สนน้ำหนักหรือขนาด

เงื่อนไขพิเศษ รับเพียง 1 สินค้า ต่อ 1 หมวดหมู่เท่านั้น เพื่อให้ทีมเชียร์ขายโฟกัสสินค้าได้อย่างเต็มที่

มากกว่าความอยู่รอด คือการเติบโตอย่างยั่งยืน

ปัจจุบัน Pengkie มีร้านค้าในระบบ Shop Platform กว่า 1,000 ร้าน และกำลังขยายอย่างต่อเนื่อง และมีการนำเทคโนโลยี AI เข้ามาช่วยคาดการณ์ความต้องการสินค้า หรือบริการของลูกค้าล่วงหน้าและระบบแนะนำการเติมสต๊อกอัตโนมัติ (Smart Ordering)

Pengkie จึงไม่ใช่แค่แอปฯ ซื้อขายของ แต่คือการเข้ามาช่วยปรับตั้งแต่โครงสร้างพื้นฐานของร้านค้าปลีกท้องถิ่น เพื่อพาโชห่วยไทยก้าวข้ามขีดจำกัด และตั้งใจขยายโมเดลนี้ไปสู่ตลาดอาเซียนอย่างเวียดนาม อินโดนีเซีย และลาว ในอีก 3-5 ปีข้างหน้า

ท้ายที่สุดแล้ว ร้านโชห่วยมีจุดแข็งที่ร้านสะดวกซื้อไม่สามารถลอกเลียนแบบได้ นั่นคือการบริหารด้วยความเข้าใจชุมชน ความยืดหยุ่น และการสร้างความสัมพันธ์

หากโชห่วยสามารถรักษาเสน่ห์ตรงนี้ไว้ แล้วอุดรอยรั่วเรื่องระบบหลังบ้านด้วยเทคโนโลยี นี่อาจจะไม่ใช่เพียงแค่การดิ้นรนเพื่อเอาตัวรอด แต่คือการติดปีกให้ร้านค้าชุมชนของไทยสามารถเติบโต แข่งขัน และยืนหยัดอยู่คู่สังคมไทยได้อย่างยั่งยืน