ยิ่งใกล้วันที่ Apple จะเปิดตัว smartphone ตัวใหม่อย่าง iPhone 6 ในเดือนสิงหาคม หรือ กันยายน 2014 นี้ ในขณะที่ยอดขายของ iPhone 6 นั้นถูกคาดหวังว่ามันจะต้องใหญ่โตและมาแรง ก็มีคำถามที่ Apple เองต้องเผชิญว่า … จริงๆแล้ว smartphone brand นี้ และ platform นี้ มีไว้สำหรับผู้มีอันจะกิน อัตราส่วน 15% ของทั้งโลกหรือ ?? ในขณะที่คนที่เหลือใช้เค้า Android กัน ?? หากอัตราส่วนผู้ใช้ต่างกันเยอะขนาดนั้น Apple จะทำยังไงต่อไป ??

image

จากสถิติของ IDC ในไตรมาสที่ 4 ปี 2013 พบว่า ระบบปฏิบัติการ Android ของ Google นั้น กินส่วนแบ่งตลาดทั่วโลกไปถึง 78% ในขณะที่ระบบปฏิบัติการ iOS ของ Apple มีส่วนแบ่งตลาดที่เพียง 18% ซึ่ง IDC คาดการว่าในปี 2014 นั้น Android จะครองส่วนแบ่งตลาดเพิ่มขึ้นอีกที่ 80.2% และ Apple จะมีส่วนแบ่งตลาดที่ลดไปกว่าเดิมอีกที่ 14.8%

หากเราลองมามองที่รายได้จากตัว Mobile Application กันบ้าง จะพบว่า อัตราการเติบโตของรายได้ Android จะโตไวกว่า Apple (จากข้อมูลของ Distomo) และก็เช่นกัน ที่ Andriod เติบโตเร็วมากกว่า iOS ในมุมของ Mobile Ads (จากข้อมูลของ Opera Mediaworks)

image (1)

จะเห็นได้จากกราฟว่า ส่วนแบ่งตลาดของ Apple นั้นหดลงไป ซึ่ง Android เริ่มครองพื้นที่ที่มากขึ้นเรื่อยๆ ทำให้คิดได้ว่า คุณภาพของ Android Phone นั้น พัฒนาให้ดีขึ้นเรื่อยๆ และนี่เองที่จะเป็นความท้าทายในระยะยาวของ Apple ว่าบริษัทจะทำยังไงกับเรื่องนี้ดี?

image (2)

IDC ได้ทำการพยากรณ์ไปไกลถึงปี 2018 ซึ่งคาดว่า Android จะเสียส่วนแบ่งตลาดไปจากเดิม และลดลงมาเหลือที่ 77.6% แต่นั้นก็จะเกิดขึ้นหลังจากที่ Android ขายโทรศัพท์ไปได้แล้วกว่า 404 ล้านเครื่อง ซึ่งคาดว่า Apple เองเพิ่งจะขายโทรศัพท์ไปได้เพิ่มเพียง 63 ล้านเครื่อง และส่วนแบ่งการตลาดของ Apple ก็หดลงไปเหลือที่ 13.7% ซึ่งยิ่งนานวัน Apple ก็ยังไม่ได้ส่วนแบ่งตลาดเพิ่มเลย แต่ IDC กลับคาดการว่า ตาอยู่อย่าง Windows Phone ของ Microsoft ที่จะช่วงชิงส่วนแบ่งตลาดที่ลดลงของทั้ง 2 ค่ายไป

image (3)

การพยากรณ์ของ IDC มองว่า ภูมิภาคที่โทรศัพท์จะเติบโตมากๆ ได้แก่ ประเทศจีน และ ประเทศอื่นๆในทวีปเอเชีย และนั่นเองก็เป็นปัญหาของ Apple เพราะ Android นั้นครองใจชาวจีน และ ชาวเอเชียมากกว่า ต้นเหตุมาจากกลยุทธของ Apple ในประเทศฝั่งตะวันออกนั้นล้มเหลว กล่าวคือ มีการกระจายสินค้าที่ไม่ทั่วถึง และ สินค้าก็มีราคาสูงด้วย ซึ่งมันมองยังไงก็ไม่น่าจะได้รับความนิยมจากคนเอเชียเลย

อาจถึงเวลาแล้วที่ Apple ต้องเปลี่ยนกลยุทธใหม่ ซึ่ง Apple เองก็เริ่มทำบ้างแล้ว เช่น การจับมือกับ China Mobile เพื่อขาย iPhone ในประเทศจีนเมื่อเดือนมกราคม 2014 แต่คิดว่าแค่นั้นคงยังไม่น่าพอ

image (4)

หากดูจากตารางเปรียบเทียบราคา จะพบว่า ราคาเฉลี่ยของ smartphone ของ Android นั้นอยู่ประมาณที่ 200 ดอลล่าร์ (ประมาณ 6,600 บาท) ในขณะที่ราคาเฉลี่ยของโทรศัพท์ของ Apple อยู่ที่ 600 ดอลล่าร์ (ประมาณ 19,700 บาท) ซึ่งราคาเฉลี่ยของ 2 ค่าย ต่างกันถึง 3 เท่าตัว

จากสถิติก็บอกได้เลยว่า คนจำนวน 80%  ไม่ยอมจ่ายเงินเพิ่มขึ้นเป็น 3 เท่า

แต่ถ้าหากลองมามองที่ตัว branding และ คุณภาพ จะพบว่า Apple นั้นทำได้ดีกว่า และ Business Model ของ Apple ก็คือการให้ได้มาซึ่งกำไรที่สูงที่สุด ไม่ใช่ให้สินค้าแพร่หลายหรือแพร่กระจายไปทั่ว ดังนั้น การที่ส่วนแบ่งตลาดลดลง ก็ไม่น่าจะทำให้ CEO อย่าง Tim Cook หงุดหงิด ซึ่งมันอาจเป็นผลดีทั้ง กำไร และ ผู้ถือหุ้น

แต่ก็มีตัวอย่างให้เห็นอยู่แล้วจากอดีตว่า ราคา device เปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา และส่งผลให้มันดีขึ้นได้ภายในชั่วข้ามคืน แต่ที่แน่ๆ ผู้ผลิตที่ขายสินค้าราคาแพงมักจะเป็นผู้แพ้เสมอ จึงไม่แปลกใจว่า ทำไมตัว Cray Computer ที่ราคาสูงถึง 8.8 ล้านเหรียญสหรัฐ ถึงไม่ค่อยมีคนใช้

ด้วยเหตุนี้เอง การลดราคาผลิตภัณฑ์ อาจเป็นหนทางหนึ่งที่ Apple น่าจะทำ เพื่อดึงดูดความสนใจของผู้ซื้อให้ให้มากกว่านี้

ที่มา : businessinsider