เราต่างก็ได้ยินเรื่องวิทยาการ AI หรือ ปัญญาประดิษฐ์ กันมานานหลายปีแล้ว แต่เมื่อเข้าสู่ปี 2023 มานี่ ที่ AI ดูจะมีบทบาทมากขึ้น และใกล้ตัวเราเป็นพิเศษ ทั้ง AI ที่มาในรูปแบบซอฟต์แวร์สนทนา สามารถพูดคุยและตอบคำถามเราได้ อย่าง Chat GPT ที่แพร่หลายอย่างมากและสามารถพูดคุยภาษาไทยได้ด้วย นอกจากนั้นยังมีซอฟต์แวร์ AI ที่ใช้ในการสร้างภาพ ใช้ง่ายและสามารถสร้างภาพที่สวยงามตรงใจ เพียงป้อนคำสั่งง่าย ๆ เว็บที่เป็นที่รู้จักก็อย่างเช่น ‎Midjourney · ‎Accomplice · ‎NightCafe ล่าสุด โปรแกรมตกแต่งภาพที่แพร่หลายที่สุดอย่าง Photoshop ก็ผนวกความสามารถของ AI ลงไปในเวอร์ชันล่าสุดด้วย ด้วยการใช้ AI ประมวลผลขยายพื้นที่ภาพไปรอบ ๆ จากภาพต้นฉบับได้เนียนอย่างน่าอัศจรรย์ วันนี้บริษัทเทคโนโยลยีชั้นนำทั่วโลก ต่างก็เร่งแข่งขันพัฒนาขีดความสามารถของ AI ของตนเองเพื่อใช้ในผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ ของบริษัท

แต่ AI ในวันนี้ยังไม่สามารถแทนที่มนุษย์ได้อย่างสมบูรณ์แบบนัก เพราะพวกมันยังไม่มีสติปัญญาความเฉลียวฉลาดในระดับเดียวกับสมองมนุษย์ ยังไม่มีความคิดสร้างสรรค์ ศีลธรรม ความยุติธรรม และทักษะในการคิดวิเคราะห์

โจล บลิต (Joel Blit)

โจล บลิต (Joel Blit) รองศาสตราจารย์ประจำมหาวิทยาลัยวอเทอร์ลู ผู้ศึกษาเกี่ยวกับ AI และเศรษฐศาสตร์กล่าวว่า
“เท่าที่ผมเห็นตอนนี้นะ มนุษย์จะยังไม่ถูก AI แทนที่ในทันที แต่มันจะทำให้เราต้อง “เร่งปรับปรุงและเพิ่มศักยภาพให้ตัวเอง”

ส่วนงานที่มีแนวโน้มว่าจะถูกแทนที่ด้วย AI มากที่สุดในช่วงแรก ๆ ก็คือพนักงานออฟฟิศทั่วไป กลุ่มคนที่มีทักษะในระดับล่างหรือพวกที่เริ่มต้นทำงานใหม่ ๆ จะเป็นกลุ่มที่ได้รับผลกระทบมากที่สุด ไม่ว่าจะทำงานอยู่ในสายงานประเภทใด โจล บลิต ให้ความเห็นว่า งานประเภทที่ทำแบบเดิมซ้ำ ๆ ทุกวัน เช่นการคีย์ข้อมูล งานวิจัย งานพวกนี้ AI จะทำได้เร็วกว่ามนุษย์มากและมีค่าใช้จ่ายต่ำกว่ามากด้วย
“อนาคตจากนี้ไปจะเป็นเรื่องยากแล้วล่ะ สำหรับนักศึกษาจบใหม่ จะหางานที่มีความเจริญก้าวหน้าไปสู่ตำแหน่งผู้บริหาร”
แต่ในทางตรงกันข้าม งานที่ต้องใช้ทักษะเฉพาะทาง เช่น ช่างประปา ช่างไฟฟ้า ดูเหมือนจะห่างไกลจากการถูกแทนที่ด้วย AI อย่างน้อยก็ไม่ใช่ในเร็ว ๆ นี้ แต่ในอนาคต เมื่อวิทยาการทางด้านหุ่นยนต์ได้รับการพัฒนาขึ้นแล้ว งานประเภทนี้ก็ต้องถูกแทนที่ได้เช่นกัน

จากนี้คือ 6 สาขาอาชีพที่มีสิทธิ์จะถูกแทนที่ด้วย AI

1.ผู้เขียนโค้ด, โปรแกรมเมอร์ (Coders/programmers)


ChatGPT ถือว่าเป็นโมเดลภาษาที่มีขนาดใหญ่มาก และมันได้แสดงให้เห็นแล้วว่า มีความสามารถในการเขียนโปรแกรมที่โดดเด่น ChatGPT ได้รับการฝึกฝนผ่านโค้ดจำนวนมหาศาล ตรงนี้ล่ะที่ทำให้โปรแกรมเมอร์จำนวนมากหวั่น ๆ ว่าจะต้องสูญเสียงานของเขาให้กับ AI แต่ผู้เชี่ยวชาญก็ให้คำแนะนำว่า ถ้าบรรดาโปรแกรมเมอร์รู้จักพัฒนาตัวเองอยู่เสมอ คุณก็น่าจะปลอดภัย

โจล บลิต ให้ความเห็นว่า นักเขียนโค้ดที่สามารถใช้ AI ทำงานร่วมด้วยได้ จะมีประสิทธิภาพในการทำงานเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่า นั่นแปลว่าในอนาคตความต้องการโปรแกรมเมอร์ในตลาดจะลดลงครึ่งหนึ่งเลย แล้วยังหมายความว่าราคาในการจ้างงานเขียนโปรแกรมก็จะลดลงด้วย แล้วจะทำให้ตลาดมีความต้องการมากขึ้น
“เมื่อผู้เขียนโค้ดแต่ละคนทำงานด้วย ChatGPT แล้วจะสามารถทำงานได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น พวกเขาจะสามารถเขียนโค้ดได้มากขึ้นในระยะเวลาที่สั้นลง และต้นทุนในการเขียนโปรแกรมก็จะลดลงครึ่งหนึ่งด้วย”

2.นักเขียน (Writers)


นักเขียนทุกประภทมีสิทธิ์ตกงานเพราะ AI ได้ทั้งสิ้น ทั้งคนเขียนบทความ, พนักงานในบริษัทโฆษณา, นักข่าว และ นักเขียนประเภทอื่น ๆ เพราะ ChatGPT สามารถสร้างแนวคิดขึ้นได้เองและถ่ายทอดออกมาเป็นตัวหนังสือได้ภายในไม่กี่วินาที
แต่การถูกแทนที่ด้วย AI นั้น ยังไม่ถูกแทนที่เสียทั้งหมด

อานิล เวอร์มา (Anil Verma)

อานิล เวอร์มา (Anil Verma) ศาสตราจารย์กิตติคุณจากวิทยาลัยการจัดการร็อธแมน แห่งมหาวิทยาลัยโตรอนโต ให้ความเห็นว่า งานทางด้านนี้ยังต้องการมนุษย์ในการตรวจทานงานเขียนของ AI และเรียบเรียงเนื้อความให้ออกมาน่าสนใจ
“สมมติว่าคุณเป็นนักข่าว ChatGPT จะช่วยงานคุณได้มากเลย มันสามารถช่วยงานวิจัยเบื้องหลังได้ และสรุปข้อมูลได้ แต่เรายังต้องคอยตรวจสอบข้อเท็จจริงและเรียบเรียงให้เป็นเรื่องราวอีกขั้นหนึ่ง และงานนี้จะต้องเป็นนักข่าวที่ผ่านการฝึกอบรมมาแล้วเท่านั้นถึงจะทำได้”
รายงานล่าสุดพบว่า ChatGPT สามารถทำงานเขียนได้มีประสิทธิภาพประมาณ 60 เปอร์เซ็นต์แล้ว ซึ่งส่งผลกระทบต่อการจ้างงานเช่นเดียวกับสาขาอาชีพอื่น นั่นหมายความว่า มีความต้องการจ้างแรงงานน้อยลงแล้ว

3.ผู้เชี่ยวชาญด้านการเงิน (Finance professionals)

หลากหลายแขนงงานที่เกี่ยวข้องกับการเงิน ทั้งที่ปรึกษาทางด้านการเงิน, เจ้าหน้าที่บัญชี, ผู้ค้าและอื่น ๆ มีสิทธิ์ที่จะถูกแทรกแซงโดย AI ผู้เชี่ยวชาญให้ความเห็นว่า งานทางด้านการเงินที่เป็นรูปแบบงานประจำ ซ้ำ ๆ เช่น งานวิจัยตลาด, งานคืนภาษี งานวิเคราะห์ตลาด เหล่านี้ AI ล้วนทำแทนมนุษย์ได้หมด แต่ก็ไม่ได้หมายความว่า ทุกคนจะถูกแทนที่ด้วย AI โดยปริยาย โจล บลิต กล่าวว่า
“งานประเภทลดหย่อนภาษีอะไรแบบนี้ยังต้องใช้นักการบัญชีที่มีประสบการณ์มาจัดการเรื่องกลยุทธ์ต่าง ๆ แต่ถ้าเป็นงานบัญชีทั่วไป เช่นการยื่นภาษี ที่ทำได้โดยพนักงานที่ไม่จำเป็นต้องมีทักษะและประสบการณ์ งานพวกนี้ใช้ AI ทำแทนได้ทั้งหมด”

4.งานทางด้านกฎหมาย (Legal workers)

เช่นเดียวกับงานสายอาชีพอื่น ๆ งานทางด้านกฎหมาย ที่เป็นงานประเภทกิจวัตรประจำวัน เช่น งานวิจัยในแต่ละคดี งานพวกนี้ ChatGPT สามารถทำจบได้ภายในไม่กี่นาที
“ถ้าเป็นแต่ก่อนนะ เราจำเป็นต้องใช้พนักงานจำนวนมากมาคอยอ่านและสรุปสำนวนจำนวนหลายร้อยหน้า เพื่อส่งต่อให้ทนายความเพื่อไปนำเสนอต่อศาล แต่ตอนนี้ AI สามารถอ่านงานวิจัยหลายร้อยหน้าและสรุปใจความได้อย่างรวดเร็ว”
อานิล เวอร์มา กล่าว แต่กระนั้น งานประเภทนี้ก็ยังจำเป็นต้องมีนักกฎหมายมาอ่านทำความเข้าใจอีกรอบเพื่อนำเสนอเฉพาะกรณีที่น่าสนใจ “เพียงแต่เราไม่ต้องใช้เสมียนจำนวนมากเหมือนแต่ก่อน เพื่อพาจัดเตรียมเอกสารเหล่านี้ หรืองานที่ประเภทซ้ำ ๆ เดิม ๆ”

5.งานวิจัย (Researchers)

ในวันนี้ โปรแกรม AI สามารถดำเนินการทดลองกระบวนการทางวิทยาศาสตร์แบบง่าย ๆ ได้เอง แล้วยังสรุปผลออกมาเป็นเอกสารได้ด้วย นั่นหมายความว่า AI จะทยอยเข้าแทนที่พนักงานในห้องแล็บได้เรื่อย ๆ
“AI ไม่เพียงแต่เขียนสรุปงานวิจัยได้เท่านั้น แต่ยังสามารถทำงานหลาย ๆ อย่างแทนผมได้ด้วย” โจล บลิต กล่าว “ผมเพียงแค่ป้อนข้อมูลจำนวนหนึ่งให้กับมันแล้วบอกให้มันวิเคราะห์ข้อมูลเหล่านี้ มันสามารถสร้างสมมติฐานขึ้นมาได้มากมาย แล้วดำเนินการทดสอบ สรุปผลวิจัยออกมาเป็นบทคาม มันสามารถทำแบบนี้ได้จริง ๆ เลยนะ แต่ถ้าถามว่ามันสมบูรณ์แบบพอที่จะตีพิมพ์ลงในวารสารได้หรือยัง ? ก็ต้องบอกว่า ยัง มันยังไปไม่ถึงระดับนั้น”
โจล บลิต กล่าวเสริมว่า งานสรุปผลวิจัยนั้นยังจำเป็นต้องใช้มนุษย์มาคอยควบคุม “แต่มันบ้าไปแล้วจริง ๆ ที่มันทำอะไรได้มากมายขนาดนี้”

6.งานบริการลูกค้า

ด้วยความสามารถในการสนทนาของ AI นั้น จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่เราจะเห็นว่ามันสามารถหน้าที่แทนพนักงานต้องเผชิญหน้ากับลูกค้าในร้านค้าปลีกต่าง ๆ หรือร้านอาหาร ได้แล้ว หนึ่งในความเห็นของ ซามิน อาเรฟ (Samin Aref) ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ประจำมหาวิทยาลัยโตรอนโต ผู้ซึ่งศึกษาทางด้านวิทยาศาสตร์ข้อมูลและ Machine Learning

ถึงตอนนี้ยังกล่าวได้ว่า ลุกค้าส่วนใหญ่ยังพอใจที่จะโต้ตอบกับผู้ค้าที่เป็นมนุษย์มากกว่า ถ้าพิจารณาเรื่องทักษะทางด้านปฏิสัมพันธ์แล้ว มนุษย์เรายังนำหน้า AI อยู่มาก งานบริการลูกค้าจึงน่าจะออกมาในรูปของการใช้พนักงานที่เป็นบุคคลแล้วเสริมด้วย AI เช่นเดียวกับงานประเภทงานวิจัย การศึกษาในเรื่องนี้แสดงให้เห็นว่า การใช้ AI เข้าช่วยกับพนักงาน สามารถเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานบริการลูกค้าได้มากถึง 60%

ที่มา : thestar