ทุกช่วงสิ้นปีก็ได้เวลากลับมามองย้อนเรื่องราวสำคัญที่เกิดขึ้นในปีที่ผ่านมา แบไต๋จึงได้คัด 10 ข่าวเด่นไอที-เทคโนโลยีประจำปี 2023 เพื่อเก็บบันทึกหมุดหมายที่เกิดขึ้นในปีนี้ เผื่อในอนาคตจะได้ย้อนกลับมาดูจุดเริ่มต้น หรือความเป็นไปต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในปีนี้ครับ

AI กับความเปลี่ยนแปลงในไทย

ตั้งแต่ ChatGPT เปิดตัวตั้งแต่ 30 พฤษจิกายน 2022 นั้นคือจุดเริ่มต้นที่ AI เข้ามาเปลี่ยนแปลงโลกรวมถึงในไทยด้วย จึงทำให้ปี 2023 เป็นปีของ AI ในไทยด้วยเช่นกัน ซึ่งเราก็ได้เห็นการใช้งานที่เป็นประโยชน์ เช่นการใช้ ChatGPT หรือ AI อื่น ๆ เพื่อสร้างไอเดียแล้วนำไปพัฒนาต่อ หรือโปรแกรมเมอร์ก็นำไปช่วยเขียนโค้ด (ซึ่งก็ต้องเอามาปรับให้โค้ดรันได้อีกที) หรือการใช้ Generative AI เพื่อเอามาสร้างงานภาพ ซึ่งก็พัฒนามาเรื่อย ๆ จนสามารถกำหนดรายละเอียด ท่าทางของตัวแบบที่วาดด้วย AI และตัวอักษรที่อยู่ในภาพได้แล้ว

แต่เราก็เห็นอีกด้านหนึ่งของสังคมที่ต้องการความชัดเจนในการนำ AI ไปใช้ด้วยเช่นกัน เช่นวงการศิลปะที่ศิลปินทั่วโลก รวมถึงในไทยต่างพากันเรียกร้องถึงวิธีปฏิบัติที่ถูกต้องในการนำข้อมูลไปฝึก AI เพื่อวาดภาพออกมา รวมถึงการจ่ายส่วนแบ่งจากการนำงานไปใช้ด้วย รวมถึงประเด็นลิขสิทธิ์ที่แม้เรามีแนวทางปฏิบัติจากต่างประเทศแล้วว่าผลงานที่ใช้ AI สร้างขึ้นมาจะไม่มีลิขสิทธิ์ แต่เราก็รอความชัดเจนหน่วยงานไทยว่ามีกรอบจัดการกับผลงานจาก AI อย่างไร

รวมถึงการเปลี่ยนแปลงในส่วนแรงงานที่ปี 2023 เป็นจุดเริ่มต้นของความแตกต่างระหว่างแรงงานที่ใช้ AI เข้ามาช่วยงานได้ กับแรงงานแบบเดิมที่ยังไม่มีทักษะ AI ทำให้ผลของงานออกมาแตกต่างกัน ซึ่งปี 2024 ชาวไทยก็จะยิ่งเจอความเปลี่ยนแปลงจาก AI มากกว่านี้อีก

ปิดตำนานนกฟ้า! Twitter เปลี่ยนเป็น X

เมื่อวันที่ 2 กรกฎาคม 2023 ชาวเน็ตร่วมกันบอกลาเจ้านกน้อยสีฟ้า หลังจาก Twitter ประกาศ เปลี่ยนไอคอนแอปและชื่อแบรนด์เป็น 𝕏 อย่างเป็นทางการ หลังจาก อีลอน มัสก์ (Elon Musk) เข้าซื้อกิจการเมื่อเดือนตุลาคม 2022 ด้วยมูลค่ากว่า 44,000 เหรียญ หรือประมาณ 1.5 ล้านล้านบาท

ภายหลัง CEO ของ X หรือ ลินดา ยัคคาริโน (Linda Yaccarino) ได้ออกมาเปิดเผยสาเหตุของเรื่องนี้กับสำนักข่าว CNBC ว่า “การเปลี่ยนโฉม X เป็นการปลดปล่อยจาก Twitter ที่ทำให้เราหลุดจากกรอบความคิดแบบเดิม ๆ ลองจินตนาการว่าทุกคนบนพื้นโลกและในอวกาศกำลังคิดอะไร เราเปลี่ยนวิธีการรวมตัวของคน วิธีการให้ความบันเทิง ตลอดจนวิธีการทำธุรกรรมต่าง ๆ ในแพลตฟอร์มเดียว”

พี่มาร์กส่ง Threads ชิงตลาด X

เรียกได้ว่าปีนี้ก็เป็นปีแห่งการประชันโซเชียลมีเดียระหว่าง อีลอน มัสก์ (Elon Musk) และ มาร์ก ซักเคอร์เบิร์ก (Mark Zuckerberg) เลยทีเดียว หลังจากมัสก์ได้ขึ้นเจ้าของ X หรือ Twitter เดิมอย่างเป็นทางการเมื่อ 26 เมษายน 2023 ทาง Meta ก็ไม่รีรอต้องการดึงผู้ใช้งานจาก X เช่นเดียวกัน

6 กรกฎาคม 2023 Instagram ได้เปิดตัวโซเชียลมีเดียวตัวใหม่ที่มีชื่อว่า “Threads” หรือแปลตรงตัวคือ ‘เส้นด้าย’ ทางด้านซักเคอร์เบิร์กได้บอกว่า Threads เป็นเหมือนชุมชนสำหรับการแสดงความคิดสร้างสรรค์ และพูดคุยกันโดยใช้พื้นฐานจากแอป Instagram ที่ผู้ใช้ไม่จำเป็นต้องสร้างบัญชีซ้ำซ้อนเพราะสามารถเชื่อมต่อจาก Instagram และติดตามครีเอเตอร์เดิมที่เคยอยู่บน Instagram ได้ทันที

ซึ่งฟีเจอร์ในช่วงแรกของ Threads ที่ทำได้คล้ายคลึง X หรือ Twitter คือ โพสต์ข้อความตัวอักษร 500 ตัวอักษร, โพสต์ลิงก์, รูปภาพ และวิดีโอความยาว 5 นาที, โพสต์รูปภาพ 10 รูปภาพพร้อมกัน และแชร์โพสต์ไปยังแอป Instagram แต่ 1 ในฟีเจอร์ที่ยังไม่ได้ตามมาก็คือ ระบบ Hashtag (#), เทรนด์ และ Direct Message

สถิติที่น่าสนใจหลังจากการเปิดตัวแอป Threads เมื่อวันที่ 6 กรกฎาคม 2023 ผ่านมาแค่ 4 วันแอป Threads ก็มีผู้ใช้งานทะลุ 100 ล้านบัญชีเรียกได้ว่ารวดเร็วมาก ๆ แต่ ๆ บัญชีผู้ใช้งานต่อวันมันเยอะตามไหม เพราะในตอนนี้ Threads มีผู้ใช้งานประมาณ 10 ล้านคนต่อวันซึ่งถือว่าน้อยมาก ๆ เมื่อเทียบกับจำนวนผู้ใช้งาน สาเหตุก็อาจมาจาก Threads ในช่วงแรกยังไม่สามารถเปิดบริการในสหภาพยุโรปได้เนื่องจากติดข้อกฏหมาย DMA และเปิดในประเทศจีน และรัสเซียไม่ได้

เมื่อเอามาเทียบกับจำนวนผู้ใช้ระหว่าง Threads และ X ก็ดูเหมือนว่า Threads ก็สู้คู่แข่งไม่ได้เลย ในตอนนี้ X มีบัญชีผู้ใช้อยู่ประมาณ 353 ล้านผู้ใช้ และผู้ใช้งานทุกวันอยู่ประมาณ 237 ล้านคน ซึ่งมากกว่า Threads ที่ลอก X อยู่ถึง 23 เท่าเลยทีเดียว ล่าสุดเมื่อกลางเดือนธันวาคม 2023 Meta ก็ได้ประกาศว่าตอนนี้ได้เปิดให้บริการในประเทศกลุ่ม EU เป็นที่เรียบร้อยก็ต้องมารอดูว่าจะทำให้มีผู้ใช้งานเพิ่มขึ้นหรือไม่ในอนาคต

จากบทวิเคราะห์สาเหตุที่ Threads ไม่สามารถสู้ X ได้เลยคือเรื่องของเนื้อหาบนแอป Threads และ Instagram นั้นเหมือนกันทั้งคู่มีแต่โพสต์รูปภาพซึ่งผู้ใช้งานไม่จำเป็นต้องไปใช้ Threads ได้เหมือนกัน และการบังคับเปิดบัญชี Threads จำเป็นต้องมีบัญชี Instagram ถึงจะเปิดได้ และการลบบัญชีจำเป็นต้องลบบัญชี Instagram พ่วงไปด้วยไม่สามารถลบได้อย่างใดอย่างหนึ่ง

หลังจากนี้ก็ต้องรอดูต่อไปว่า Meta เจ้าของ Threads จะมีกลยุทธ์ใหม่ ๆ อะไรมาสู้กับคู่แข่ง X ให้ได้เพราะในตอนนี้ขนาดซักเคอร์เบิร์กยังมาโพสต์บน Threads นาน ๆ ครั้งเลย!

ความวุ่นวายของ ChatGPT

นอกจากปี 2023 จะเป็นปีแห่ง AI แล้ว ยังเป็นปีของการปลด CEO ซะด้วย ! หลังจากที่ ‘ChatGPT’ ระบบแชตที่ทำงานอยู่บน LLM GPT ของทาง OpenAI ผู้ซึ่งจุดประกายกระแส AI ให้เป็นที่พูดถึงกันมาตลอดทั้งปี แซม อัลต์แมน CEO ผู้อยู่เบื้องหลังความสำเร็จของ ChatGPT กลับถูกไล่ออกพ้นตำแหน่ง เพียงเพราะ ‘บอร์ดบริหาร’ บอกว่าแซมไม่ได้สื่อสารกับบอร์ดอย่างตรงไปตรงมาอย่างสม่ำเสมอ ซึ่งเป็นอุปสรรคต่อความสามารถในการทำหน้าที่ จึงไม่มั่นใจในความสามารถให้นั่งเป็นซีอีโอต่อไปได้ ซึ่งเรื่องทั้งหมดนี้เกิดจากการที่บริษัท OpenAI มีระบบโครงสร้างองค์กรที่แปลกกว่าปกติ เลยเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น

พอแซมโดนไล่ออก ทีนี้ก็ว้าวุ่นเลย เพราะแซมโดนฝั่ง Microsoft ซื้อตัวไปพร้อมกับ เกร็ก บร็อกแมน ผู้ร่วมก่อตั้ง OpenAI ตั้งแต่ยังตั้งไข่ ซึ่งพอหัวหอกออกไปอยู่กับอีกบริษัทแล้ว นักวิจัย ไปจนถึงพนักงานคนอื่น ๆ ก็ต่างพากันเตรียมตัวจะย้ายออกตามไปอยู่ Microsoft ไปจนหมด ซึ่งสร้างความวุ่นวายใน OpenAI อย่างหนัก จนเรื่องไปจบที่การรื้อบอร์ดบริหารของ OpenAI ใหม่หมด ให้แซมกลับมาเป็น CEO เหมือนเดิม และให้เกร็กกลับมาทำงานต่อที่ OpenAI ด้วย ถึงทำให้ OpenAI กลับสู่สภาวะปกติได้

Google ลุยศึก AI เต็มตัว

เรียกได้ว่าปี 2023 คือปีแห่ง AI หรือ Ears of AI เลยทีเดียวที่ต่อเนื่องมาจากปลายปี 2022 OpenAI ได้เปิดตัว Dall-E 2 Generative AI สร้างรูปภาพด้วยคำสั่ง Prompt และ GPT 3.5 โมเดลภาษาขนาดใหญ่ (Large Language Model) ที่ถูกใช้งานใน ChatGPT, Bing AI ของ Microsoft และอื่น ๆ อีกมากมายนับไม่ถ้วน

ซึ่ง Google ก็ไม่ยอมน้อยหน้าเช่นกันก็ได้เปิดตัวแชตบอต ‘Bard’ โดยใช้เทคโนโลยีโมเดลภาษาขนาดใหญ่ของ LaMDA (Language Model for Dialogue Applications) ที่ถูกเปิดตัวเมื่อปี 2021

Bard มีความสามารถที่หลากหลายเช่น ถามตอบ, รับคำสั่งเสียง, รับคำสั่งโดยมีรูปภาพเป็นองค์ประกอบ อีกทั้งยังสามารถเชื่อมบริการของ Google ตัวอย่างเช่น Google Flights, Google Hotel, Google Maps, บริการ Google Workspace และ YouTube

ปัจจุบัน Bard ก็ได้รับการอัปเดตครั้งใหญ่ที่ได้รับความสามารถจาก Gemini 1.0 เวอร​์ชัน Pro

ซึ่ง Gemini 1.0 ตัวนี้เป็นโมเดลเจนเนเรชันใหม่ล่าสุดจากทาง Google ที่มีความสามารถเหนือกว่าคู่แข่งอย่าง GPT-4 เกือบทุกด้าน ซึ่งทำให้ Google Bard มีความเก่งกาจเพิ่มขึ้นที่สามารถรับคำสั่ง และอินพุตทั้งข้อความ, โค้ด, เสียง, รูปภาพ และวิดีโอได้พร้อม ๆ กัน

ด้านประสิทธิภาพการทำงาน Gemini 1.0 ก็ได้ผ่านการทดสอบมาตรฐานวิชาการด้านต่าง ๆ ทั้งหมด 32 รายการพบว่า Gemini 1.0 สามารถผ่านการทดสอบ 30 รายการด้วยคะแนน 90.0%

โมเดล Gemini 1.0 มาพร้อมกันถึง 3 รุ่นย่อยได้แก่

  • Gemini Ultra : โมเดลที่มีขนาดใหญ่ที่สุดสามารถประมวลผลการทำงานที่มีความซับซ้อน
  • Gemini Pro : โมเดลขนาดกลางเหมาะกับงานประเภทต่าง ๆ ทั่วไป
  • Gemini Nano : โมเดลที่ถูกปรับจูนมาสำหรับรันบนอุปกรณ์ขนาดเล็กเช่น สมาร์ตโฟน (สมาร์ตโฟนเครื่องแรกของโลกที่จะได้ใช้งานความสามารถ Gemini Nano ก็คือ Google Pixel 8 Pro ผ่านการอัปเดต Feature Drop ประจำเดือนธันวาคม 2023 ได้แก่ Summarize in Recorder ช่วยสรุปการบันทึกเสียง และ Smart Reply in Gboard แนะนำข้อความตอบกลับอัตโนมัติ)

ในตอนนี้ Google Bard เปิดให้คนทั่วไปสามารถเข้ามาใช้งานได้ฟรีโดยรับคำสั่งผ่านภาษาอังกฤษ จะมีการรองรับภาษาอื่น ๆ ทั่วโลกมากกว่า 170 ประเทศในอนาคต และในปี 2024 Google Bard จะมีเวอร์ชัน Bard Advance ที่จะดึงความสามารถ Gemini Pro แต่ต้องเสียเงินรายเดือนเพื่อเข้าถึงความสามารถนี้

Apple One More Thing “Vision Pro”

กลายเป็นโมเมนต์หนึ่งที่สำคัญของ Apple ประจำปีนี้เลยก็ว่าได้ กับโมเมนต์ One More Thing เปิดตัว Vision Pro อุปกรณ์แขนงใหม่จาก Apple หรือที่เรียกว่า Spatial Computer มาให้คนทั้งโลกยลโฉม และเตรียมจะบอกคนทั้งโลกว่า อุปกรณ์ AR / XR ในอนาคตที่ผู้คนจะนำมาใช้ หน้าตาจะเป็นประมาณแบบนี้

ย้อนกลับไปตอนปี 2007 Apple ก็เคยทำอะไรแบบนี้มาก่อน ด้วยการเปิดตัว iPhone แล้วบอกคนทั้งโลกว่า อุปกรณ์มือถือยุคใหม่ จะต้องเป็นหน้าตาประมาณนี้นะ จะต้องโทรออกได้ เล่นเพลงได้หลายร้อยเพลง ต่ออินเทอร์เน็ตได้ ซึ่งมันก็กลายเป็นนิยามของคำว่าสมาร์ตโฟนที่เราใช้มากันถึงทุกวันนี้ โมเมนต์ One More Thing ครั้งนี้ที่ Apple เปิดตัวแว่น Vision Pro มันเลยมีความน่าตื่นเต้น และเป็นที่จับจ้องของคนทั้งวงการอุตสาหกรรม ว่าการวาดภาพอนาคตหน้าใหม่ของอุปกรณ์ติดตัวจาก Apple จะนำเราไปสู่ยุคสมัยใหม่ของเทคโนโลยีในรูปแบบใด

USB-C ใน iPhone 15 Series

หลังจากที่ USB-C เริ่มใช้กันในสมาร์ตโฟนมาราว ๆ 8 ปีในที่สุด iPhone ซึ่งเป็นสมาร์ตโฟนที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในโลกก็เริ่มใช้ USB-C สักทีใน iPhone 15 Series จึงต้องจารึกว่าปี 2023 เป็นจุดเริ่มต้นของจุดจบยุคพอร์ตเชื่อมต่อแบบ Lightning สักที

การที่ iPhone ใช้ USB-C ทำให้ปลดล็อกข้อจำกัดหลายอย่างของไอโฟน ไม่ว่าจะเป็นสายชาร์จและสายข้อมูลที่ใช้ร่วมกับอุปกรณ์อื่น ๆ อย่าง iPad, Macbook รวมถึง Android ได้สักที นอกจากนี้ยังได้ความเร็วในการเชื่อมต่อเพิ่มขึ้น​ (เฉพาะตระกูล iPhone 15 Pro) ทำให้การส่งข้อมูลและการเชื่อมต่อจอภาพภายนอกทำได้ลื่นไหลขึ้น ที่สำคัญคือรองรับอุปกรณ์เสริมมากขึ้น ในราคาถูกลงด้วย เช่นเชื่อมต่อกับ SSD หรือ Flash Drive แบบ USB-C ได้เลย โดยไม่ต้องใช้ไดรฟ์แบบ Lightning ราคาแพงเหมือนในอดีต

ก็ต้องขอบคุณ EU ที่บีบบังคับแอปเปิ้ลจนเกิดเรื่องนี้ได้ในปี 2023 ครับ

Microsoft ควบรวม Activision Blizzard เสร็จสิ้น

Microsoft ควบรวม Activion Blizzard เสร็จสมบูรณ์ ด้วยเงินมูลค่ามากถึง 68,700 เหรียญสหรัฐฯ หนึ่งในการเข้าซื้อกิจการที่ใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์เลยทีเดียว ใช้เวลาไปทั้งหมดประมาณ 1 ปี การควบรวมครั้งนี้ส่งผลต่อหลาย ๆ อย่าง และแน่นอนว่าเป็นกำลังให้ Microsoft ต่อกรกับสงครามคอนโซลอย่าง Xbox vs Playstation ของ Sony นั่นเอง ซึ่งก็ทำให้ Microsoft ถือสตูดิโอพัฒนาเกม และไอพีเกมดัง ๆ ต่าง ๆ มากมาย ทำให้ทางฝั่ง Sony เองก็ต้องตีความคู่แข่งของตัวเองใหม่

ชิป Kirin ตัวใหม่จาก Huawei ที่อเมริกาว้าวุ่น

เรื่องราวที่เกิดขึ้นยาวนานข้ามสมัยประธานาธิบดีสหรัฐฯ ที่ส่งผลต่อเนื่องในวงการเทคโนโลยีของโลกคงหนีไม่พ้นการคว่ำบาตรด้านเทคโนโลยีของสหรัฐฯ กับประเทศจีน ที่ทำให้เกิดสงครามการค้าขึ้นจนทำให้แบรนด์เทคโนโลยีดังอย่าง Huawei ล้มได้เลย ซึ่งหนึ่งในเรื่องที่เกิดผลกระทบมากที่สุดคือเรื่องการห้ามทำการค้ากับบริษัทที่ใช้เทคโนโลยีของสหรัฐฯ เช่นเทคโนโลยี 5G ซึ่งทำให้นอกจาก Google Mobile Services แล้ว Huawei ยังใช้ชิป 5G ที่มาจากบริษัทที่เกี่ยวกับ 5G ไม่ได้เลย ชิปเซต HiSilicon Kirin ที่เคยใช้ TSMC ผลิตได้ กลับกลายเป็นว่า ไม่สามารถจ้างผลิตได้อีกแล้ว ทำให้ทำได้แค่ซื้อชิปเขามาใช้ แล้วแม้ Huawei จะซื้อชิปจาก Qualcomm ได้ แต่ห้ามใช้เทคโนโลยี 5G เลย ทำให้สมาร์ตโฟนของหัวเว่ยยุคหลังไม่มี 5G ใช้ แม้ว่าตัวเองจะออกแบบโมเด็ม 5G เองได้ แต่ผลิตไม่ได้ จะซื้อของอเมริกา เขาก็ไม่ขายให้

แต่มาปีนี้ ชิปเซต 5G ของ Huawei ก็โผลกลับเข้าสู่ตลาดอีกครั้ง เมื่อ Huawei เปิดตัว Huawei Mate60 Series ที่ประเทศจีนแบบเงียบ ๆ แถมยังมาพร้อมกับชิปเซต HiSilicon Kirin 9000s ที่ใช้ 5G ได้ซะอย่างนั้น !? ซึ่งก็มีข้อมูลออกมาบอกว่า ชิปเซต Kirin 9000s เป็นชิป 7nm ที่ใช้ 5G ได้ ที่มาจากการพัฒนาร่วมกันของ HUAWEI และ ‘SMIC’ ผู้ผลิตเซมิคอนดักเตอร์มาแรงเจ้าใหม่จากจีน แต่สหรัฐฯ เอง ก็ต้องตั้งข้อสงสัยว่า ที่ผลิตได้นั้นละเมิดกฎการคว่ำบาตรหรือเปล่า เพราะ การผลิตชิปขนาด 7nm ได้ โรงงานมักจะใช้เครื่อง extreme ultraviolet lithography หรือ EUV โดย ASML ซึ่งเป็นบริษัทสัญชาติดัตช์เพียงบริษัทเดียวในโลกที่ผลิตเครื่องจักรชนิดนี้ และเป็นบริษัทที่ได้รับข้อเรียกร้องของสหรัฐฯ ที่จะไม่จัดส่งเครื่องจักร EUV ใด ๆ ไปยังประเทศจีนด้วย ทำให้จนถึงตอนนี้ เรื่องนี้ก็ยังคงเป็นที่สงสัยกันอยู่ว่าจีนทำได้อย่างไร แต่ที่แน่ ๆ คือฝั่งจีนมีความสามารถมากกว่าที่สหรัฐฯ คิดไว้ (หรือเปล่า)

ปีนี้จึงเป็นปีแห่งความเปลี่ยนแปลง จะเกิดอะไรขึ้นถ้า SMIC ของจีนผลิตชิป 5G ที่แรงพอจะทัดเทียมชิปสมาร์ตโฟนระดับเรือธงที่ผลิตจากคู่แข่งอย่าง TSMC ได้สำเร็จ และแบรนด์สมาร์ตโฟนทั่วโลกประกอบไปด้วยแบรนด์จากประเทศจีนจำนวนมาก การกีดกันเทคโนโลยีชิปจีน อาจจะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงทางอุตสาหกรรมของวงการเซมิคอนดักเตอร์ในสมาร์ตโฟนไปเลยก็ได้

เริ่มต้นยุคทองของรถ EV

ปี 2023 ถือเป็นปีแห่งวงการอุตสาหกรรมรถยนต์ไฟฟ้า ที่สร้างสถิติมากมายทั่วโลก รวมถึงประเทศไทย ตั้งแต่ไตรมาสแรกที่ Tesla Model Y สร้างสถิติยอดขายอันดับ 1 ของโลก ด้วยจำนวน 267,200 คัน แซงหน้ารถยนต์สันดาปจาก Toyota ทั้ง 4 อันดับเป็นครั้งแรก

อีกทั้งยังยังมีสถิติของการส่งมอบรถประเภท xEV ทั้ง 3 ไตรมาสแรกพบว่า BYD ปาดหน้า Tesla ด้วยจำนวน 2.07 ล้านคัน ครองส่วนแบ่งการตลาด 21.9% ในขณะที่ Tesla ตามมาด้วยจำนวน 1.323 ล้านคัน

สุดท้ายในประเทศไทยปี 2023 ก็มีรถยนต์ไฟฟ้าจดทะเบียนไปกว่า 67,056 คัน (ยังไม่รวมเดือนธันวาคม) ซึ่งคาดว่าจะทะลุ 75,000 คันอย่างแน่นอน เมื่อเทียบกับปี 2022 อยู่ที่ 9,729 คันเท่านั้น ถือว่าเติบโตขึ้นอย่างก้าวกระโดด และทำให้รถ EV ในไทยจะมีจำนวนมากกว่า 600,000 คันภายในสิ้นปีนี้เลยทีเดียว

พิสูจน์อักษร : สุชยา เกษจำรัส