เคยสงสัยกันบ้างไหมว่าหลายบริษัทเทคโนโลยีชื่อดังที่เคยรุ่งเรื่องในอดีต แต่ชื่อเสียงห่างหายไปสักพักใหญ่แล้ว ตอนนี้เป็นอย่างไรกันบ้างแล้ว จะรุ่ง หรือว่าปิดกิจการกันไป มาดูกัน

Kodak

เริ่มต้นกันด้วยแบรนด์ Kodak สัญชาติอเมริกัน หรือชื่อเต็มคือ Eastman Kodak ก่อตั้งในปี 1898 ซึ่งในปัจจุบันเป็นที่รู้จักกันในวงคนเล่นกล้องฟิล์มที่ต้องการได้ความรู้สึกของภาพแบบวินเทจ

ย้อนกลับไปในช่วงทศวรรษที่ 1930 – 1970 บริษัท Kodak ครองตลาดกล้องถ่ายภาพและม้วนฟิล์ม ทำธุรกิจที่เน้นในด้านการขายกล้องฟิล์มที่ราคาไม่แพงและใช้งาน และบริการล้างฟิล์ม ถ้าย้อนกลับไปสัก 20 – 30 ปีที่แล้ว ร้านฟิล์ม Kodak แทบจะมีอยู่ทั่วทุกมุมถนนทั่วโลก

Kodak ยังเป็นผู้บุกเบิกฟิล์มโคดาโครมที่มีชื่อเสี่ยงในหมู่นักถ่ายภาพฟิล์มทั่วโลก และเป็นหนึ่งในบริษัทแรก ๆ ที่คิดค้นเทคโนโลยีการถ่ายภาพแบบดิจิทัล ทั้งภาพนิ่งดิจิทัล และการส่งต่อภาพทางอิเล็กทรอนิกส์ มาตั้งแต่อย่างน้อยก็ในช่วงระหว่างปี 1950 – 1970 ที่สำคัญคือเป็นผู้ผลิตกล้องดิจิทัลตัวแรกในปี 1975

แต่ฝ่ายบริหารของ Kodak กลับมองไม่เห็นว่าจริง ๆ แล้วกล้องถ่ายภาพดิจิทัลเนี่ยแหละจะเข้ามา Disrupt ตลาดกล้องฟิล์ม แม้ว่าฝ่ายวิจัยของบริษัทจะพยายามทักท้วงแล้วก็ตาม กว่าจะรู้ถึงความสำคัญก็ปลายทศวรรษที่ 1990 ต้น 2000 ที่คู่แข่งเต็มตลาดไปหมดแล้ว ทำให้ในช่วงหลังความสามารถในการแข่งขันของ Kodak ในตลาดกล้องอยู่ในสภาพอันตราย นำมาสู่การถูกยื่นล้มละลายในปี 2012

ในท้ายที่สุด Kodak ก็รอดกลับมาได้ด้วยการปรับโมเดลธุรกิจที่ลดการให้ความสำคัญกับธุรกิจกล้อง แต่หันมาให้บริการโซลูชันการพิมพ์แบบดิจิทัล ที่เป็นธุรกิจหลัก หมึกพิมพ์ สารเคมีและชิ้นส่วนสำหรับการผลิต และในระยะหลังคือตั้งแต่ปี 2019 ก็บุกเข้าตลาดผลิตยามากขึ้น ถึงกับก่อตั้งบริษัทลูกขึ้นมา เพื่อหวังจะเน้นสร้างรายได้ให้แซงหน้าธุรกิจโซลูชัน แต่สำหรับผลิตภัณฑ์กล้องดิจิทัลและกล้องฟิล์มนั้นก็ยังคงอยู่ แม้ว่าจะไม่ได้เป็นธุรกิจหลักแล้วก็ตาม

Nikon

ข้ามมหาสมุทรแปซิฟิกมาที่ญี่ปุ่น Nikon หรือชื่อเดิมคือ Nikon Kogaku K.K ก่อตั้งขึ้นในปี 1917 เดิมทีแล้ว Nikon เชี่ยวชาญการผลิตเลนส์กล้อง และเทคโนโลยีลำกล้องที่ใช้สำหรับการผลิตที่ต้องใช้ความละเอียดสูง จนในปี 1948 ก็กระโดดไปเข้าโลดแล่นอยู่ในตลาดกล้องถ่ายรูป ตั้งแต่กล้องฟิล์ม กล้อง DSLR และ Mirrorless ถือว่าเป็นสายผลิตภัณฑ์ที่สร้างชื่อให้กับ Nikon จนดังไปทั่วโลก

ต่างจาก Kodak ที่ปรับตัวช้ากว่า Nikon เข้าใจความต้องการของตลาดและสามารถโอบรับเทคโนโลยีถ่ายภาพแบบดิจิทัลอย่างรวดเร็ว Nikon ยังไม่รอช้าที่จะเข้าไปโลดแล่นในตลาดใหม่ ๆ อย่างในสายเซมิคอนดักเตอร์ด้วย

เครื่อง DUV ของ Nikon (ที่มา Nikon)

นอกจากนี้แล้ว ที่หลายคนไม่รู้คือ Nikon ยังถือส่วนแบ่งในเทคโนโลยีเครื่องยิงแสงดีปอัลตราไวโอเลตที่มีความละเอียดสูงสำหรับใช้ในการขึ้นลวดลายบนแผงวงจรรวมที่ใช้ในการผลิตชิป ถือส่วนแบ่งตลาดโลกมากถึง 5% ถือเป็นเจ้าหลักในด้านนี้รองจาก ASML ของเนเธอร์แลนด์

นี่ยังไม่รวมถึงความเชี่ยวชาญในเทคโนโลยีด้ายการบรรจุและตรวจสอบความถูกต้องของชิปด้วย ในขณะเดียวกัน Nikon ก็ยังเป็นผู้เล่นที่มีความสำคัญในตลาดกล้องเหมือนเดิม

Fujifilm

ก่อตั้งในปี 1934 ในชื่อ Fuji Photo Film จากแผนการสร้างอุตสาหกรรมฟิล์มในประเทศของรัฐบาลญี่ปุ่น เป็นอีกผู้เล่นสำคัญที่มีประวัติศาสตร์ผูกพันธ์อยู่กับตลาดกล้องฟิล์ม

Fujifilm เริ่มบุกเข้าตลาดกล้องฟิล์มครั้งแรกในทศวรษที่ 1960 ด้วยกล้องตระกูล Fujica และสามารถปรับตัวเข้าสู่ตลาดดิจิทัลได้อย่างรวดเร็วเมื่อช่วงต้นปี 1990 มีชื่อเสียงทั้งในไลน์กล้อง DSLR และ Mirrorless โดยเฉพาะในตระกูลซีรีส์ X และ GPX ที่ดัน Fujifilm เข้าสู่การเป็นหนึ่งในผู้นำตลาดกล้องดิจิทัล

เครื่อง CT scan ของ Fujifilm (ที่มา Fujifilm)

นอกจากกล้องแล้ว Fujifilm ยังมีชื่อเสียงในผลิตภัณฑ์สารเคมีโฟโตรีซิสที่ขาดไม่ได้ในการผลิตชิป ยิ่งไปกว่านั้น ตั้งแต่ปี 1993 เป็นต้นมา Fujifilm ยังกระโดดเข้าไปในตลาดเทคโนโลยีการพิมพ์ และผลิตภัณฑ์ด้านการแพทย์ ด้วยการเข้าไปซื้อบริษัทอย่าง Chiyoda Medical และ Eurocolor Photonishing

โดยในส่วนของผลิตภัณฑ์ทางการแพทย์มีทั้งในรูปแบบยา เครื่องสำอาง ไปจนถึงเทคโนโลยีวินิจฉัยด้านการแพทย์ เช่น เครื่อง CT scan และ MRI ซึ่งได้กลายมาเป็นหนึ่งในธุรกิจหลักจนถึงปัจจุบัน

Nokia

มาถึงเจ้าพ่อด้านการสื่อสารจากฟินแลนด์ เมื่อย้อนกลับไปในปี 1865 นั้น ธุรกิจเล็ก ๆ ในฟินแลนด์ที่ก่อนจะกลายมาเป็น Nokia เคยเป็นธุรกิจโรงกระดาษมาก่อน จนเปลี่ยนชื่อเป็น Nokia ในปี 1871 และกลายเป็น Nokia Corporation จากการควบรวมบริษัทด้านไฟฟ้าและโครงข่ายเมื่อปี 1967

Nokia มามีชื่อเสียงสุดขีดในปี 1979 ซึ่ง Nokia เข้าไปรวมกิจการกับ Salora กลายเป็น Mobira Oy ที่ให้กำเนิดระบบโครงข่ายโทรศัพท์ไร้สายระหว่างประเทศที่เชื่อมต่อระหว่างฟินแลนด์ สวีเดน เดนมาร์ก และนอร์เวย์ ที่สำคัญไปกว่านั้นคือในปี 1987 ที่ Nokia ได้ปล่อยหนึ่งในโทรศัพท์มือถือรุ่นแรก ๆ ของโลก ในชื่อ The Mobira Cityman 900 อันเป็นตัวช่วยบุกเบิกยุคแห่งโทรศัพท์มือถือที่ต่อเนื่องจนมาถึงปัจจุบัน

หลังจากนั้นอีกหลายทศวรรษ Nokia ก็ได้ก้าวขึ้นมาเป็นเจ้าตลาดโทรศัพท์มือถือ ถึงขั้นว่าการโทรด้วยโครงข่าย GSM ครั้งแรกของโลกโดยนายกรัฐมนตรีฟินแลนด์ ฮาร์รี โฮลเกริ (Harri Holkeri) ก็เกิดขึ้นด้วยโทรศัพท์ Nokia โดยโทรศัพท์มือถือ GSM รุ่นแรกของ Nokia ที่โด่งดังข้ามโลกก็คือรุ่น Nokia 1011

ต่อมาในปี 1993 Nokia 2100 ก็คลอดออกมาพร้อมกับเสียงริงโทนที่เป็นที่จดจำของคนทั้งโลก เป็นเสียงที่นำมาจากตอนหนึ่งของเพลง Gran Vals in A major ที่ ฟรานซิสโก ทาร์เรกา (Francisco Tárrega) ประพันธ์ขึ้น หลังจากนั้น Nokia ก็ปล่อยผลิตภัณฑ์สร้างชื่อหลายรุ่น ไม่ว่าจะเป็น 3310 ที่มีมีมล้อทั่วอินเทอร์เน็ตว่าทุบยังไงก็ไม่พัง หรือ 6110 ที่มาพร้อมกับเกม “งู” รุ่นแรก โทรศัพท์มือถือของ Nokia ยังไปปรากฎในหน้าสื่ออีกจำนวนมาก รวมถึงภาพยนตร์ The Matrix ด้วย

Nokia smartphones
สมาร์ตโฟน Nokia ในปัจจุบัน ภายใต้การพัฒนาของ HMD Global

อย่างไรก็ดี ไฟความเป็นเจ้าตลาดของ Nokia ก็เริ่มมอดดับลงตั้งแต่ช่วงปี 2007 เป็นต้นมา กับการถือกำเนิดของ iPhone ที่มาดิสรัปต์ตลาดโทรศัพท์พกพาทั่วโลก นักวิเคราะห์ประเมินว่า Nokia ไม่ได้เตรียมตัวดีพอกับการรับมือสมาร์ตโฟนเปลี่ยนโลกของ Apple ซึ่งแม้ Nokia จะพยายามพัฒนาทั้งระบบปฏิบัติการกับฮาร์ดแวร์ออกมาสู้ แต่ก็ไม่รอด จำใจต้องขายกิจการสมาร์ตโฟนให้กับ Microsoft ก่อนที่ต่อมาจะไปอยู่ในมือของ HMD Global ที่ก่อตั้งโดยอดีตพนักงานของ Nokia อีกที

ในส่วนของ Nokia เองก็ยังคงเข้มแข็งและเป็นหนึ่งในผู้เล่นที่สำคัญของตลาดโครงสร้างพื้นฐานและเทคโนโลยีด้านโครงข่ายที่ดูจะมีรายได้เพิ่มขึ้นทุกปี ไม่ว่าจะเป็นในโครงข่ายอินเทอร์เน็ต โทรศัพท์มือถือ และคลาวด์ ที่สำคัญคือ Nokia ยังได้เข้าไปซื้อกิจการสายโครงข่าย และถือหุ้นของบริษัทเทคโนโลยี รวมถึง HMD Global ด้วย

Blackberry

Blackberry ถือกำเนิดขึ้นเมื่อปี 1984 โดยนักศึกษาวิศวกรรมชาวแคนาดา 2 คน ได้แก่ ไมค์ ลาซาริดิส (Mike Lazaridis) และ ดักลาส แฟรกกิน (Douglas Fraggin) เดิมทีใช้ชื่อว่า Research In Motion (RIM) เมื่อตั้งใหม่ ๆ นั้นบริษัทไปรับโปรเจกต์น้อยใหญ่จากธุรกิจใหญ่หลายเจ้าอย่าง GM และ IBM

RIM มาเข้าสู่วงการอุปกรณ์พกพาในช่วงปี 1989 ที่ Rogers บริษัทโทรศัพท์จากแคนาดามาจ้างให้ไปช่วยพัฒนาโครงข่ายข้อความเคลื่อนที่ที่ออกแบบมาเพื่อการส่งข้อความเป็นการเฉพาะ เรียกได้ว่านี่เป็นจุดเริ่มต้นความสนใจในด้านนี้ของ Blackberry ในยุคบุกเบิก

อุปกรณ์ส่งข้อความเครื่องแรกที่ใช้ชื่อ Blackberry ถือกำเนิดขึ้นมาในปี 1996 ซึ่งเป็นเพจเจอร์แบบส่งข้อความ 2 ทางที่มาพร้อมกับคีย์บอร์ด QWERTY อาจเรียกได้ว่าเป็นเพจเจอร์เครื่องแรก ๆ ที่มีคีย์บอร์ด QWERTY ซึ่งชื่อ Blackberry นี้มาจากรูปทรงและสัมผัสของคีบอร์ด แถมยังมีระบบส่งอีเมลพ่วงเข้ามาด้วย ความสำเร็จนี้เองที่ทำให้บริษัทต่าง ๆ แม้แต่ Apple และ IBM ในขณะนั้นสนใจให้มาช่วยพัฒนาอุปกรณ์ส่งข้อความ

Blackberry ทำตลาดได้เรื่อยมาด้วยผลิตภัณฑ์ที่ราคาเข้าถึงได้และมีความเสถียร แม้แต่ในยุคสมาร์ตโฟนในช่วงปี 2006 เป็นต้นมา RIM ก็มีการออกสมาร์ตโฟน Blackberry รุ่นที่รู้จักกันดีอย่าง Blackberry Pearl และ Blackberry Curve ที่มาพร้อมกับฟีเจอร์ Blackberry Messenger ซึ่งก็เป็นระบบส่งข้อความผ่านอินเทอร์เน็ตที่มีราคาถูกกว่า SMS มาก ไหนจะการที่มาพร้อมกับคีบอร์ด QWERTY ที่ใช้งานส่งข้อความได้ง่าย ว่ากันว่าในช่วงพีคนั้น Blackberry กินส่วนแบ่งสมาร์ตโฟนทั่วโลกถึง 20%

แต่เช่นเดียวกับ Nokia ที่การมาของ iPhone ในปี 2007 มาพร้อมกับแรงกดดันมหาศาลต่อผู้เล่นหน้าเดิม ๆ ในวงการสมาร์ตโฟนและโทรศัพท์มือถือ เช่นเดียวกับการถือกำเนิดขึ้นของ Android ที่เป็นระบบปฏิบัติการมาสู้กับ OS เดิมของ Blackberry

แม้ว่า Blackberry จะพยายามแก้เกมมาสู้ด้วยการเพิ่มฟีเจอร์ใหม่ ๆ และปรับปรุงซอฟต์แวร์ แต่การที่บริษัทยังดึงดันที่จะคงคีย์บอร์ด QWERTY ที่กลายเป็นข้อจำกัดด้านฮาร์ดแวร์เอาไว้ ทำให้ส่วนแบ่งในตลาดก็หดหายลงเรื่อย ๆ สุดท้ายก็สู้ไม่ไหวและจากวงการสมาร์ตโฟนไปในปี 2020

QNX เป็นชื่อของซอฟต์แวร์จาก Blackberry ที่ใช้ในรถยนต์ทั่วโลก (ที่มา Blackberry)

แต่ Blackberry ในฐานะธุรกิจเทคโนโลยีก็ยังคงอยู่ โดยปัจจุบันหันมาให้บริการโซลูชันในด้านการสื่อสารที่ปลอดภัยให้แก่ลูกค้าองค์กรรัฐและเอกชน รวมถึงบริการด้านความมั่นคงปลอดภัยและการทำงานจากทางไกล นอกจากนี้ ก็ยังได้ก้าวไปสู่ตลาดยานยนต์ โดยให้บริการซอฟต์แวร์ในรถทั้งแบบดั้งเดิมและรถยนต์ขับเคลื่อนอัตโนมัติอีกด้วย

IBM

ก่อตั้งในปี 1911 ในชื่อ Computing-Tabulating-Recording Company (CTR) ก่อนจะเปลี่ยนชื่อเป็น IBM ในปี 1924 ให้หลัง เป็นตัวย่อมาจาก International Business Machines ในระยะเริ่มแรก IBM มีชื่อเสียงจากผลิตภัณฑ์เครื่องคิดเลข เครื่องจับเวลาสำหรับลูกค้าธุรกิจ และบัตรเจาะรูที่ใช้สำหรับเก็บข้อมูลดิจิทัลในอดีต

IBM เป็นที่รู้จักอย่างแพร่หลายในช่วงปี 1950 ด้วยการเข้าไปเป็นผู้ผลิตคอมพิวเตอร์รายสำคัญในตลาดเชิงพาณิชย์ ในยุคที่คอมพิวเตอร์ยังใช้ท่อสุญญากาศเป็นแหล่งพลังงาน (ต่างจากทุกวันนี้ที่ใช้ชิป) ทำให้คอมพิวเตอร์กลายเป็นธุรกิจหลักของบริษัท ในขณะเดียวกัน IBM ยังมีความเชี่ยวชาญในการพัฒนาเมนเฟรม หรือเซิร์ฟเวอร์ขนาดใหญ่ที่มีประสิทธิภาพสูง

ที่สำคัญกว่านั้นก็คือการพัฒนา FORTRAN หรือภาษาโค้ดดิ้งที่เป็นต้นแบบของโค้ดในหลายภาษาที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน ในยุคนั้น เรียกได้ว่า IBM ครองตลาดคอมพิวเตอร์ได้แทบจะเบ็ดเสร็จ

คีบอร์ดของ PC 5150 (ที่มา IBM)

ยุคแห่งความรุ่งเรืองในฐานะเจ้าตลาดคอมพิวเตอร์ของ IBM ในยุคใหม่เริ่มขึ้นตั้งแต่ช่วงปี 1981 ด้วยการออกคอมพิวเตอร์รุ่น Personal Computer 5150 ที่เรียกได้ว่าเป็นคอมพิวเตอร์รุ่นแรก ๆ ของบริษัทที่ดีไซน์มาเพื่อให้คนทั่ว ๆ ไปใช้ ยิ่งไปกว่านั้น IBM ยังได้สร้าง Deep Blue ที่เป็นซูเปอร์คอมพิวเตอร์ที่คิดได้ด้วยตนเอง เป็นเสมือนกับ AI ในยุคแรก ๆ

อย่างไรก็ดี ในช่วง 1980 – 1990 IBM ก็เสียสถานะผู้นำตลาดคอมพิวเตอร์ จากการที่คู่แข่งรายใหม่ ๆ ที่ความสามารถในการแข่งขันสูงผุดขึ้นมาเป็นดอกเห็ด แถมการมาของเซิร์ฟเวอร์ขนาดเล็กลงเรื่อย ๆ ยังทำให้ความสำคัญของเมนเฟรมค่อย ๆ หายไป จนสุดท้าย IBM ก็ต้องขายธุรกิจคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลให้กับ Lenovo ไป

แต่เจ้า Big Blue (ฉายาของ IBM มาจากสีฟ้าของโลโก้บริษัท) ก็ยังไม่ได้ตายจากไปเพียงแต่ถอนตัวออกจากตลาดสายฮาร์ดแวร์ ไปสู้ในตลาดอื่นมากขึ้น โดยยังคงในส่วนของ AI ไว้ด้วยตัว Watsonx ที่เป็นทั้งซูเปอร์คอมพิวเตอร์และแพลตฟอร์ม AI รวมถึงยังไปเอาดีด้านการให้บริการคลาวด์และโซลูชันด้านโครงสร้างพื้นฐาน รวมถึงด้านการป้องกันภัยไซเบอร์ด้วย

บทสรุปที่ยังไม่สรุป

จะเห็นได้ว่าบริษัทชื่อดังในอดีตหลายเจ้าแม้จะไม่ได้รุ่งในเส้นทางที่เคยเดินแล้ว แต่ก็ยังสามารถปรับตัวได้ในธุรกิจสายอื่น ซึ่งก็ยังมีอีกหลายธุรกิจที่ไม่ได้โชคดีเช่นนี้ และก็ไม่แน่ว่าในอนาคตจะมีเทคโนโลยีระดับ iPhone (หรือถ้าในยุคนี้ก็อาจเป็น ChatGPT) ที่ถือกำเนิดมาเพื่อฆ่ายักษ์ใหญ่วงการไอทีในปัจจุบันก็เป็นได้