ทุกครั้งที่มีการเปิดตัวสมาร์ตโฟนรุ่นใหม่ โดยเฉพาะ iPhone ผู้ใช้หลายรายมักจะนำเครื่องเก่าไปขายหรือเอาไปเทิร์นเป็นจำนวนมาก เพื่อแลกมาซึ่งสมาร์ตโฟนรุ่นใหม่ล่าสุด สาวก iPhone ที่แท้จริงส่วนใหญ่ก็จะเปลี่ยนกันทุก ๆ ปีอยู่แล้ว หรือบางคนมีการย้ายจาก Android มาเป็น iPhone ก็มี แต่อาจจะด้วยปัจจัยหลาย ๆ อย่างที่ทำให้ตัดสินใจเปลี่ยนเครื่องหรือย้ายค่าย ก็มาจากเหตุผลส่วนตัวของแต่ละคนทั้งนั้น 

แต่วันนี้ BT beartai จะพาทุกคนไปเจาะลึกดูว่า แท้จริงแล้วคนใช้โทรศัพท์อย่างเรา ๆ ต้องใช้ยังไงมันถึงจะคุ้มที่สุด แล้วต้องใช้ไปนานแค่ไหน ถึงควรเปลี่ยนเครื่อง จะเปลี่ยนทุก ๆ ปี หรือ นาน ๆ เปลี่ยนทีดี

ใช้โทรศัพท์ยังไงให้คุ้ม นาน ๆ เปลี่ยนที หรือ เปลี่ยนทุกปี ?

เรามาตอบคำถามแรกกันดีกว่า ว่าใช้โทรศัพท์ยังไงให้คุ้ม แล้วควรเปลี่ยนโทรศัพท์ทุก ๆ กี่ปีดี ต้องบอกก่อนว่าความคุ้มหรือไม่คุ้มส่วนหนึ่งเป็นเรื่องของความรู้สึก ย้อนกลับไปตอนเราทุกคนตัดสินใจซื้อ บางคนก็อยากได้เพราะด้วยสเปกของแต่ละรุ่น บางคนก็ตัดสินใจซื้อเพราะแบรนด์ รวมไปถึงเลิฟในดีไซน์หรือสีสันสะดุดตา หรืออาจจะเป็นปัจจัยเรื่องราคา

ทว่าด้วยโทรศัพท์ในสมัยนี้สเปกโหด ราคาดี แต่ยังเป็นแบรนด์ที่ไม่ถูกใจ ก็ทำให้คนไม่ตัดสินใจเลือกซื้อ แต่พอเจอแบรนด์ที่ถูกใจ สเปกโหด ก็มาพร้อมกับราคาที่เจ็บแสบเหลือเกิน เพราะฉะนั้นจึงทำให้ทุกคนเลือกที่จะลงทุนกับมัน

ความยากลำบาก อาจจะไม่ใช่แค่ตอนหาเงินและตัดสินใจซื้อ แต่เป็นตอนที่จะขายเพื่อซื้อเครื่องใหม่ เช่น iPhone 17 ที่กำลังจะวางขายวันที่ 19 กันยายนนี้ คนที่มี iPhone 16 อยู่ในมือก็เริ่มสั่น ๆ แล้ว และแน่นอนว่าตอนนั้นที่ซื้อบางคนอาจจะซื้อกับค่ายมือถือและมีสิทธิพิเศษพร้อมส่วนลดต่าง ๆ ทำให้ตอนไปเทิร์นกับ Apple ก็ยังคุ้มค่าอยู่

แต่บางคนเอาไปเทิร์นแล้วก็ยังรู้สึกเสียดายนิด ๆ เพราะอย่างเช่น iPhone 16 128 GB ถ้าเอาไปเทิร์นแม้จะเป็นเกรดดี ๆ หรือเรียกอีกอย่างว่าเกรด A และสุขภาพแบตฯ ยังไม่เสื่อม ก็ได้ราคาเพียงแค่ 13,000 บาท จากที่ซื้อมาราคา 29,900 บาท แค่ปีเดียวราคาหายไปตั้ง 16,900 บาท จึงทำให้บางคนคิดว่าไม่คุ้มเท่าไหร่นัก และตัดสินใจ ที่จะไม่ขายและค่อยเก็บเงินซื้อเครื่องใหม่ก็มี แต่ถ้ายังไม่เห็นภาพ BT beartai จะเปรียบให้เข้าใจง่าย ๆ ดังนี้

1. เปลี่ยนโทรศัพท์ทุกปี 

  • iPhone 16 128 GB ซื้อมา 29,900 บาท เทิร์นได้ 13,000 บาท (29,900 – 13,000 = 16,900 หาร 12) เราจะเสียค่าเสื่อมสภาพ 1,408.3 บาท/เดือน
  • ถ้าต้องการใช้ iPhone 17 ราคา 29,900 บาท ต้องเพิ่มเงินอีก 16,900 บาท

2. เปลี่ยนโทรศัพท์ทุก 2 ปี 

  • iPhone 15 128 GB ซื้อมา 32,900 บาท เทิร์นได้ 11,000 บาท (32,900 – 11,000 = 21,900 หาร 24) เราจะเสียค่าเสื่อมสภาพ 912.5 บาท/เดือน 
  • ถ้าต้องการใช้ iPhone 17 ราคา 29,900 บาท ต้องเพิ่มเงินอีก 18,900 บาท

3. เปลี่ยนโทรศัพท์ทุก 3 ปี 

  • iPhone 14 128 GB ซื้อมา 32,900 บาท เทิร์นได้ 8,500 บาท (32,900 – 8,500 = 24,400 หาร 36) เราจะเสียค่าเสื่อมสภาพ 677.7 บาท/เดือน 
  • ถ้าต้องการใช้ iPhone 17 ราคา 29,900 บาท ต้องเพิ่มเงินอีก 21,400 บาท

4. เปลี่ยนโทรศัพท์ทุก 4 ปี 

  • iPhone 13 128 GB ซื้อมา 29,900 เทิร์นได้ 7,500 บาท (29,900 – 7,500 = 22,400 หาร 48) เราจะเสียค่าเสื่อมสภาพ 466.6 บาท/เดือน 
  • ถ้าต้องการใช้ iPhone 17 ราคา 29,900 บาท ต้องเพิ่มเงินอีก 22,400 บาท

5. เปลี่ยนโทรศัพท์ทุก 5 ปี 

  • iPhone 12 128 GB ซื้อมา 31,900 เทิร์นได้ 5,500 บาท (31,900 – 5,500 = 26,400 หาร 60) เราจะเสียค่าเสื่อมสภาพ 440 บาท/เดือน 
  • ถ้าต้องการใช้ iPhone 17 ราคา 29,900 บาท ต้องเพิ่มเงินอีก 24,400 บาท

การเปลี่ยนโทรศัพท์ทุก ๆ ปีจะเห็นได้ว่า แม้ว่าเราจะเอาไปเทิร์นก็จะเสียค่าเสื่อมสภาพต่อเดือนเยอะที่สุด แต่สิ่งที่แลกมากับการเปลี่ยนเครื่องใหม่ทุกปี ก็คือจะได้ใช้นวัตกรรมใหม่ล่าสุดทุก ๆ ปี ไม่ว่าจะเป็นชิปเซต ดีไซน์ และอื่น ๆ

แล้วแบบนี้ควรจะเปลี่ยนโทรศัพท์ทุกกี่ปีดี ?

แม้จะสรุปไปข้างต้นควรเปลี่ยนโทรศัพท์ทุก ๆ กี่ปี ? แต่แท้จริงคำถามนี้ก็ค่อนข้างสรุปได้ยาก เพราะเนื่องจากการใช้งานแต่ละคนไม่เท่ากัน บางคนถนอมเครื่องมาก ทำตามคำแนะนำเบื้องต้นทุกอย่างเพื่อยืดอายุการใช้งาน ไม่ว่าจะเป็นไม่ทำให้เครื่องร้อนเกินไป, ไม่เล่นจนแบตฯ ต่ำกว่า 20% บ่อย ๆ แต่จริง ๆ แล้วอายุการใช้งานจริง อาจแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับปัจจัยต่าง ๆ เช่น แบรนด์ รุ่น ยี่ห้อ สเปกเครื่อง และพฤติกรรมการใช้งานของผู้ใช้แต่ละคน 

โดยทั่วไปแล้วเราควรพิจารณาเปลี่ยนเครื่องใหม่ทุก ๆ 3-5 ปี หรือเมื่อเริ่มเจอสัญญาณเหล่านี้

  • แบตเตอรี่เสื่อมเร็ว : จากที่เคยชาร์จเต็มใช้ได้ทั้งวัน ตอนนี้กลับต้องชาร์จบ่อยขึ้นผิดปกติ
  • เครื่องช้าและค้างบ่อย : ประสิทธิภาพการใช้งานลดลงอย่างเห็นได้ชัด เปิดแอปฯ ช้า หรือเล่นเกมแล้วกระตุกจนหงุดหงิด กดคลิกแล้วยังค้าง เป็นต้น
  • ไม่ได้รับการอัปเดต : โทรศัพท์รุ่นเก่าเกินไปจนไม่สามารถอัปเดตระบบปฏิบัติการใหม่ ๆ ได้ ทำให้เสี่ยงต่อปัญหาด้านความปลอดภัย
  • รองรับแอปฯ ใหม่ไม่ได้ : แอปพลิเคชันหรือเกมใหม่ ๆ ที่ต้องใช้สเปกเครื่องสูง ๆ ไม่สามารถติดตั้งหรือใช้งานได้อีกต่อไป

ท้ายที่สุดแล้ว คำถามที่ว่า “ควรเปลี่ยนโทรศัพท์ทุกกี่ปีดี ?” อาจไม่มีคำตอบที่ถูกที่สุดสำหรับทุกคน เพราะมันขึ้นอยู่กับไลฟ์สไตล์ ความต้องการ และที่สำคัญคือ “ความคุ้มค่าในมุมมองส่วนตัว” เพราะคุ้มไม่คุ้มส่วนหนึ่งเป็นเรื่องของความรู้สึก…อาจใช้ปัจจัยหรือเหตุผลอื่นในการประกอบการตัดสินใจ อย่างสถานะทางการเงิน หรือความจำเป็นเข้ามามีส่วนสำคัญในการตัดสินที่จะเปลี่ยนหรือไม่เปลี่ยนมากกว่าความรู้สึก