ทุกครั้งที่มีสมาร์ตโฟนรุ่นใหม่ออก หลายคนมักเกิดความรู้สึกอยากเปลี่ยนมือถือขึ้นมา ไม่ว่าจะเป็นการเปลี่ยนตามกระแส หรืออาจแค่อยากใช้อะไรที่อัปเดตใหม่ ๆ ขณะที่บางคนเลือกที่จะเปลี่ยนมือถือด้วยความจำเป็น เช่น ใช้ทำงาน หรือรอจนสมาร์ตโฟนเครื่องเก่าพังจนแทบใช้งานไม่ได้แล้วถึงค่อยเปลี่ยน 

การเปลี่ยนโทรศัพท์ทุกปีไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไร อาจมีเรื่องที่เราต้องตระหนักรู้ไว้ในฐานะมนุษย์ผู้อาศัยอยู่บนโลกใบนี้ ในแง่ของทรัพยากรธรรมชาติและสิทธิมนุษยชน

การผลิตอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ ต้องใช้ส่วนประกอบสำคัญที่ใช้แรงงานคนอย่างมหาศาล นอกจากพลาสติกและอะลูมิเนียม ยังมีแร่ “โคลแทน” (Coltan) ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ โดยเฉพาะสมาร์ตโฟนยุคใหม่ทุกเครื่อง

โคลแทนประกอบด้วยธาตุสำคัญสองชนิดคือ นิโอเบียม (Niobium) และ แทนทาลัม (Tantalum) โดยส่วนใหญ่จะถูกขุดโดยคนงานเหมืองท้องถิ่น ซึ่งใช้แรงงานคนเป็นหลักและต้องทำงานในสภาพแวดล้อมที่ลำบาก

ประเทศผู้ผลิตนิโอเบียมรายใหญ่ที่สุดคือ บราซิล ซึ่งมีสัดส่วนการผลิตถึง 90% ของโลก นอกจากนี้ บราซิลยังมีแหล่งแร่โคลแทนจำนวนมาก และเป็นผู้ผลิตแทนทาลัมรายใหญ่อันดับ 3 ของโลกเลยทีเดียว

ส่วนประเทศที่ผลิตแทนทาลัมได้มากที่สุดคือ สาธารณรัฐประชาธิปไตยคองโก ตามมาด้วย สาธารณรัฐรวันดา ซึ่งเป็นประเทศเพื่อนบ้าน โดยทั้งสองประเทศนี้ แร่โคลแทนจะถูกขุดโดยคนงานเหมืองท้องถิ่นเป็นหลัก

โคลแทนถูกนำไปใช้ทำอะไรในสมาร์ตโฟน ?

โคลแทนและธาตุที่อยู่ในนั้นอย่างนิโอเบียมและแทนทาลัม ถูกนำไปใช้ในหลายอุตสาหกรรม เช่น อิเล็กทรอนิกส์, เหล็ก และอุปกรณ์ทางการแพทย์

  • แทนทาลัม เป็นส่วนประกอบสำคัญในอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ทั่วโลก ส่วนใหญ่จะถูกใช้ผลิต ตัวเก็บประจุ ซึ่งเป็นชิ้นส่วนพื้นฐานในโทรศัพท์และอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์อื่น ๆ นอกจากนี้ยังถูกใช้ในการผลิตอุปกรณ์ผ่าตัด หรือกระดูกเทียม เพราะไม่ทำให้เกิดปฏิกิริยาต่อต้านจากร่างกายมนุษย์
  • นิโอเบียม ถูกนำไปใช้ในอุตสาหกรรมเหล็กเป็นหลัก เพื่อผลิตเหล็กที่มีความแข็งแรงสูง แต่น้ำหนักเบา

หลังจากการสกัดจากแร่โคลแทนแล้ว แทนทาลัมจะถูกนำมาใช้ในอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ เพราะมีความหนาแน่นสูง นำไฟฟ้าได้ดี และทนความร้อนได้สุดจะเยี่ยม คุณสมบัติเหล่านี้ ทำให้สามารถเก็บประจุไฟฟ้าไว้ในตัวเก็บประจุขนาดเล็กได้ ซึ่งช่วยให้อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ต่าง ๆ เช่น โทรศัพท์มีขนาดเล็กและบางลงได้มาก

นอกจากนี้ แทนทาลัมยังเป็นที่ต้องการอย่างมากในเทคโนโลยีที่ผิดพลาดไม่ได้อย่างเด็ดขาด เช่น รถยนต์, ดาวเทียม, อากาศยาน, อุปกรณ์ทางทหาร และอุปกรณ์ทางการแพทย์ และยังเป็นส่วนสำคัญในอุตสาหกรรมแบตเตอรี่ เหตุผลที่เป็นส่วนสำคัญก็เพราะว่าช่วยเพิ่มความหนาแน่นในพลังงานได้

วิธีการทำเหมืองโคลแทน และการละเมิดสิทธิแรงงาน

วิธีการที่จะได้เจ้าแร่ตัวนี้มาก็แสนจะยากเย็น เพราะโคลแทนจะถูกขุดจากแหล่งแร่ โดยกลุ่มคนงานเหมืองที่ใช้แรงงานคนเป็นหลัก ซึ่งมีวิธีการแปรรูปแร่หลายแบบ และวิธีที่พบมากที่สุดคือ การร่อนหาแร่ (Panning) ซึ่งเป็นการร่อนหินและทราย จนแร่โคลแทนที่หนักกองลงที่ก้นถาด เหมือนร่อนทองบ้านเราเลยครับ

การทำเหมืองหาแร่โคลแทนใช้แรงงานคนยังไม่พอ แต่สถานที่การทำงานก็แสนจะยากลำบาก และไม่ได้มีแค่ผู้ใหญ่เท่านั้นที่ทำงานงก ๆ แต่ยังมีเด็กและวัยรุ่นจำนวนมากที่ถูกใช้แรงงานในเหมืองอีกด้วย

หลายคนอาจจะตั้งคำถามว่า ความต้องการที่เพิ่มสูงขึ้นส่งผลให้เกิดการละเมิดสิทธิแรงงานที่ผิดกฎหมายและมนุษยธรรมหลายรูปแบบ หากมันร้ายแรงขนาดนั้นทำไมยังไม่มีการตรวจสอบอย่างจริงจัง สาเหตุส่วนหนึ่งมาจากเส้นทางการค้าของโคลแทนนั้นตรวจสอบได้ยาก หลายหน่วยงานที่กำกับดูแลจึงพยายามอย่างหนักเพื่อให้แน่ใจว่าบริษัทอิเล็กทรอนิกส์ จะไม่เข้าไปมีส่วนร่วมในการสนับสนุนการซื้อแร่ ซึ่งนั่นถือเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนโดยใช้ทรัพยากรธรรมชาติ และหากพูดแบบไม่โลกสวยมากนัก เราอาจเป็นส่วนหนึ่งในวงจรนี้ไปแล้ว

กฎหมายระหว่างประเทศ

  • สหรัฐอเมริกา : กฎหมายว่าด้วยแร่ที่เป็นข้อพิพาทของคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (SEC) กำหนดให้บริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ต้องเปิดเผยข้อมูลต่อนักลงทุนว่า แร่แทนทาลัม (Tantalum), ดีบุก (Tin), ทังสเตน (Tungsten) และทองคำ (3TG) ที่ใช้เป็นส่วนประกอบในการผลิตผลิตภัณฑ์ มีต้นกำเนิดมาจากคองโกหรือไม่ ?
  • สหภาพยุโรป : ในเดือนพฤษภาคม 2015 มีการลงมติให้แบนผลิตภัณฑ์ทั้งหมดที่มีส่วนประกอบของแร่ที่เป็นข้อพิพาท โดยกฎหมายใหม่นี้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่เดือนมกราคม 2021
  • การตรวจสอบห่วงโซ่อุปทาน : นอกจากนี้ยังมีความพยายามที่จะสร้างความรับผิดชอบในหมู่บริษัทเหมืองแร่ โดยมีการนำเทคโนโลยีบล็อกเชนมาใช้ตรวจสอบความถูกต้องของแหล่งที่มา เช่น บริษัท Intel และ Circular ที่กำลังร่วมกันทำให้ห่วงโซ่อุปทานแร่แทนทาลัมในรวันดามีความโปร่งใสมากยิ่งขึ้น

แต่เรื่องราวของการได้มาซึ่งแร่ชนิดนี้ถูกซุกซ่อนไว้ภายใต้ความตื่นเต้นต่อเทคโนโลยีใหม่และกระแสของโลกยุคปัจจุบัน ดังนั้นการที่เราเปลี่ยนโทรศัพท์ทุกปี อาจไม่เพียงแต่สิ้นเปลืองทรัพยากรเป็นอย่างมาก แต่อาจนำพาเราเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของวงจรการละเมิดแรงงานที่ขาดมนุษยธรรม แม้การอธิบายไปแบบนั้นจะดูแย่เกินไป แต่การช่วยยืดอายุของโทรศัพท์เรา ไม่ได้ช่วยแค่เรื่องคนงานที่ขุดแร่ธาตุอย่างยากลำบาก แต่ยังช่วยลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมได้อีกด้วย

ใช้สมาร์ตโฟนให้นานขึ้น ลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมได้ 

จากข้อมูลของเว็บไซต์ wired ซึ่งไม่เกี่ยวข้องกับการขุดแร่ที่ได้เล่าไปก่อนหน้านี้ ได้ยกตัวอย่างว่า ถ้าเราใช้ iPhone 13 ต่อไปนานถึง 5 ปี แทนที่จะเปลี่ยนเครื่องใหม่ทุก ๆ 2 ปีครึ่ง จะสามารถลดการปล่อยก๊าซคาร์บอน จากการผลิตอุปกรณ์ได้ถึง 49% ซึ่งเทียบเท่ากับการลดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้กว่า 15.6 ล้านตัน/ปี เลยทีเดียว และยิ่งถ้าสามารถยืดอายุการใช้งานได้นานถึง 10 ปี ด้วยการซ่อมแซมและปรับปรุง จะช่วยลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนได้มากถึง 68%

ไม่ว่าเราจะเป็นคนที่เลือกอัปเกรดโทรศัพท์ทุกปีเพื่อตามกระแส หรือเป็นคนที่เลือกใช้เครื่องเดิมเพื่อความคุ้มค่าสูงสุด สิ่งสำคัญที่ BT beartai จะสะท้อนให้เห็น คือการตัดสินใจของเราไม่ได้ส่งผลแค่เรื่องเงินในกระเป๋าเท่านั้น แต่ยังส่งผลกระทบที่ใหญ่กว่านั้นมาก

ท่ามกลางโลกที่เราขาดอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ไม่ได้ การเปลี่ยนโทรศัพท์บ่อยครั้ง อาจหมายถึงการที่เรามีส่วนในการสนับสนุนกระบวนการผลิตที่ต้องใช้ทรัพยากรธรรมชาติ และแรงงานจำนวนมหาศาล รวมถึงอาจมีประเด็นเรื่องการละเมิดสิทธิมนุษยชนแฝงอยู่ ซึ่งเราอาจเป็นส่วนหนึ่งของวงจรนี้ไปเรียบร้อยแล้ว ไม่ว่าเราจะตระหนักรู้หรือไม่ก็ตาม

แม้จะดูย้อนแย้งและลักลั่น แต่ผู้ที่อยู่ปลายทางอย่างเราอาจเริ่มจากเรื่องง่าย ๆ เช่น การใช้โทรศัพท์ให้นานขึ้นอีกสักหน่อย ไม่เพียงแต่ช่วยลดค่าใช้จ่ายของเราเท่านั้น แต่ยังเป็นการแสดงออกถึงความรับผิดชอบต่อโลกและเพื่อนมนุษย์ได้มากขึ้นไม่มากก็น้อย โดยทุกครั้งที่เรายืดอายุการใช้งานอุปกรณ์ได้นานขึ้นอีกปีสองปี เรากำลังช่วยลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนและลดภาระต่อสิ่งแวดล้อมได้อย่างเป็นรูปธรรม ไปจนถึงการตั้งคำถามและการตรวจสอบความโปร่งใส่ของวัสดุที่ใช้ในสมาร์ตโฟนจากผู้ผลิต