เคยไปเที่ยวต่างประเทศ พอกลับมายืนรอกระเป๋าหน้าสายพานแล้วกระเป๋าหายไหม ? ยุคนี้อะไรก็เกิดขึ้นได้ เราไม่รู้เลยว่ากระเป๋าจะหายเพราะคนหยิบผิด หรือหายเพราะมีคนตั้งใจเอาไปจริง ๆ พอหายก็ไม่รู้จะตามหาที่ไหน

แต่วันนี้เทคโนโลยีเปลี่ยนความกังวลนั้นให้กลายเป็นความอุ่นใจได้ด้วยแกดเจ็ตขนาดเท่ากับเหรียญเล็ก ๆ ที่เรียกว่า ‘AirTag’ ไปดูว่าเจ้าเหรียญนี้มันช่วยตามหากระเป๋าเดินทางของเราได้ยังไง แม่นยำแค่ไหน และทำไมมันถึงกลายเป็น ‘Must Have Item’ ที่ขาดไม่ได้สำหรับการเดินทางในยุคนี้

AirTag คืออะไร ?

AirTag คือเครื่องระบุตำแหน่ง ที่มีลักษณะเป็นเหรียญกลม ๆ ขนาดเท่าเหรียญ 10 บาท ที่มีหลักการทำงานที่เรียบง่ายมาก ๆ ด้วยการส่งสัญญาณ Bluetooth (ไม่ใช่ GPS, Wi-Fi, Cellular อย่างที่หลาย ๆ คนเข้าใจ) ออกไปเพื่อระบุตำแหน่งกับมือถือของเจ้าของ

ถ้ามือถือเจ้าของอยู่ห่างออกไป AirTag จะส่งสัญญาณ Bluetooth ไปให้ iPhone เครื่องอื่นที่อยู่ใกล้ ๆ เพื่อฝากส่งตำแหน่งเข้าไปที่เซิร์ฟเวอร์กลางของ Apple ให้เราสามารถเห็นตำแหน่งใน Find My ได้

ยกตัวอย่างให้เห็นภาพ ถ้ากระเป๋าหายที่สนามบินนาริตะประเทศญี่ปุ่น แล้วเราดันบินกลับมาไทยแล้ว AirTag จะตะโกนบอกตำแหน่งกับมือถือเครื่องอื่น ๆ ว่า ‘ฉันอยู่ที่นาริตะนะ ฝากไปบอกเจ้าของที’ iPhone เครื่องอื่นที่มารับสัญญาณก็จะส่งต่อไปให้ Apple แล้ว Apple ก็จะมาบอกเราในแอปฯ Find My อีกที แล้วถ้ากระเป๋ากลับมาไทย แล้วเราอยู่ใกล้ ๆ เราจะสามารถเดินตามหาได้อย่างแม่นยำเพราะมีเข็มทิศระบุตำแหน่ง รวมถึงการส่งเสียงแจ้งเตือนได้ นี่แหละคือการทำงานที่แสนจะเรียบง่ายแต่ทำได้จริงของ AirTag

ทริกใช้ AirTag สำหรับกระเป๋าเดินทาง (พร้อมวิธีกันขโมยแอบโยนทิ้ง !)

จุดตายของ AirTag คือเสียงเตือนและมองเห็นได้ง่าย ถ้าขโมยรู้ตัวมันจะถูกโยนทิ้งทันที เราจึงต้องใช้เทคนิคซ่อนให้มิดและเงียบที่สุดเพื่อป้องกันไม่ให้โดนโยนทิ้งได้ง่าย ๆ ดังต่อไปนี้

  1. ซ่อนใต้ซับใน : เปิดกระเป๋าเดินทางแล้วมองหาซิปตรงกลางพื้นกระเป๋า (ส่วนที่บังโครงเหล็กคันชัก) รูดซิปออกแล้วใช้เทปกาวแปะ AirTag ติดกับโครงกระเป๋าด้านในสุด ขโมยส่วนใหญ่จะรื้อค้นแค่ข้าวของเครื่องใช้ ไม่เสียเวลาแกะซับในกระเป๋าขนาดนั้น
  2. ใช้ AirTag สองอัน (ฉบับคนงบถึง) : ใช้ AirTag 2 อัน อันแรกห้อยโชว์ไว้ข้างนอกให้เห็นชัด ๆ เป็นตัวล่อ ส่วนอันจริงซ่อนไว้ลึกที่สุดตามข้อ 1 ส่วนใหญ่ขโมยจะดึงตัวล่อทิ้งแล้วตายใจว่าปลอดภัยแล้ว ทำให้เรายังติดตามพิกัดจริงจากตัวที่ซ่อนไว้ได้อยู่
  3. พรางตัวในของใช้ : ซ่อนเนียนไปกับของใช้ประจำวัน เช่น ยัดไส้ในถุงเท้าที่ม้วนเก็บไว้ เย็บซ่อนใต้ก้นกระเป๋าเครื่องสำอาง หรือใส่ในกล่องแว่นตา ทำแบบนี้จะทำให้ AirTag ดูกลมกลืนไปกับสัมภาระ จนแยกไม่ออกว่าเป็นอุปกรณ์ติดตาม

การตั้งค่า AirTag เบื้องต้น

สำหรับคนที่ยังตั้งค่า AirTag ไม่เป็น เรามีขั้นตอนง่าย ๆ ให้ได้ลองตั้งค่ากัน

  1. อัปเดตซอฟต์แวร์เวอร์ชันล่าสุดให้เป็น iOS 14.5 หรือใหม่กว่า แล้วเปิดใช้งานแอปฯ Find My (ค้นหาของฉัน) และเปิด Bluetooth บน iPhone ของคุณเพื่อให้เชื่อมกับ AirTag
  2. ลองเอา AirTag และ iPhone มาอยู่ใกล้กัน จะมีข้อความแจ้งว่าพบ AirTag แล้วให้ทำตามคำแนะนำบนจอ iPhone เพื่อเชื่อม AirTag กับบัญชี Apple ID โดยสามารถเลือกชื่อจากรายการหรือตั้งชื่อเองได้
  3. จากนั้นให้กดดำเนินการเมื่อเชื่อมเสร็จ AirTag จะแสดงตำแหน่งบนแผนที่ในแอปฯ Find My

กรณีที่ต้องการตามหาของหาย ให้เปิดแอปฯ ‘Find My’ แล้วเลือกสิ่งของนั้น หากสัญญาณยังปกติ แอปฯ จะโชว์พิกัดปัจจุบันพร้อมระบบนำทางให้ทันที แต่ถ้าสัญญาณหายหรืออยู่นอกระยะ แอปฯ จะแสดง ‘ตำแหน่งสุดท้าย’ (Last Seen) แทน ให้เราแก้เกมด้วยการเปิดฟีเจอร์ ‘แจ้งเตือนให้ทราบเมื่อพบ’ (Notify When Found) ทิ้งไว้ เมื่อ AirTag กลับมาจับสัญญาณได้อีกครั้ง ระบบจะเด้งแจ้งเตือนพิกัดล่าสุดให้คุณรู้ตัวทันที

ปีใหม่นี้ เที่ยวให้สนุกและมีสติกันด้วยนะ