Apple เปิดตัวฟีเจอร์การเข้าถึงใหม่ (new accessibility features) ที่จะปล่อยออกมาในปีนี้ ซึ่งรวมถึง Eye Tracking การติดตามดวงตา, Music Haptics ที่เป็นโซลูชันสำหรับผู้พิการหรือมีปัญหาทางด้านการได้ยินให้สามารถรับประสบการณ์ฟังเพลงได้ผ่าน Taptic Engine ของ iPhone, Vocal Shortcuts ทำให้ผู้ใช้สั่งการทำงานได้ผ่านใช้เสียงที่ตั้งเอาไว้, Vehicle Motion Cues ช่วยลดอาการเมารถเมื่อใช้ iPhone หรือ iPad ในยานพาหนะที่กำลังเคลื่อนที่ นอกจากนี้ยังมีฟีเจอร์การเข้าถึงอื่น ๆ สำหรับ visionOS ดังนี้

Eye Tracking (การติดตามดวงตา) สำหรับ iPad และ iPhone

ฟีเจอร์นี้อาศัย AI ในการประมวลผล ช่วยให้ผู้ใช้ควบคุม iPad และ iPhone ได้ด้วยสายตา เป็นฟีเจอร์สำหรับผู้พิการ โดย Eye Tracking จะใช้กล้องหน้าในการตั้งค่าและปรับเทียบในเวลาไม่กี่วินาที

สามารถใช้งานได้ทั้ง iPadOS และ iOS ทำให้ผู้ใช้สามารถควบคุมผ่านการมองไปที่ฟังก์ชันต่าง ๆ บนหน้าจอและใช้ Dwell Control เพื่อเลือก ปัดหน้าจอ หรือใช้ gestures อื่น ๆ ได้ด้วยสายตา

Music Haptics เพิ่มการเข้าถึงบทเพลงในวงกว้างขึ้น

Music Haptics เป็นวิธีการใหม่สำหรับผู้ใช้ที่มีความบกพร่องทางการได้ยินให้สามารถรับประสบการณ์จากเพลงได้ผ่าน iPhone โดยจะมี Taptic Engine ที่ให้สัมผัสของการเคาะ และการสั่นที่พ้องไปกับเสียงจากบทเพลง โดยฟีเจอร์นี้จะทำงานคู่กับเพลงบน Apple Music และมีเป็น API สำหรับนักพัฒนาเพื่อทำให้เพลงเข้าถึงได้มากขึ้นในแอปของพวกเขา

Vocal Shortcuts

ฟีเจอร์สำหรับ iPhone และ iPad ในการสร้างคำสั่งเสียงเพื่อสั่งการ Siri ให้ทำงานที่ซับซ้อน และสามารถจดจำประโยคใหม่ ๆ เพื่อสอน iPhone ให้จดจำเสียงของผู้ใช้ได้ดียิ่งขึ้น เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาในการพูด หรือมีความเสี่ยงที่จะสูญเสียความสามารถในการพูด

Vehicle Motion Cues

ฟีเจอร์ใหม่สำหรับ iPhone และ iPad เพื่อลดอาการเมารถขณะใช้งานอุปกรณ์ทั้ง 2 ในยานพาหนะที่กำลังเคลื่อนที่ โดยเป็นการแก้ปัญหาจากสาเหตุความขัดแย้งทางประสาทสัมผัสระหว่างสิ่งที่บุคคลเห็นกับสิ่งที่รู้สึก

อัปเดต CarPlay

มีฟีเจอร์การเข้าถึงใหม่ ๆ ใน CarPlay ซึ่งรวมถึง Voice Control, Color Filters, Sound Recognition ที่ช่วยสนับสนุนการใช้งานของผู้ใช้ที่มีปัญหาด้านเสียง การได้ยิน หรือการมองเห็น เช่น การแจ้งเตือนกรณีมีเสียงไซเรนหรือเสียงบีบแตร การปรับฟิลเตอร์สีให้เหมาะสมกับบุคคลที่มีอาการตาบอดสี หรือการทำให้ตัวอักษรหนาและมีขนาดใหญ่ขึ้น

ฟีเจอร์การเข้าถึงใหม่บน visionOS

ในปีนี้จะมีฟีเจอร์การเข้าถึงใหม่บน visionOS ซึ่งรวมถึง Live Caption ที่จะแสดงคำพูดในบทสนทนาที่เกิดขึ้นเป็นตัวอักษรสำหรับผู้ที่มีปัญหาการได้ยิน ซึ่งจะมีการผนวก Live Caption สำหรับ FaceTime บน visionOS ด้วย

นอกจากนี้ยังเพิ่มความสามารถในการควบคุม เช่น การเคลื่อนที่ captions, Reduce Transparency, Smart Invert และ Dim Flashing Lights สำหรับผู้ที่ต้องการเลี่ยงแสงที่มีความจ้า

อัปเดตอื่น ๆ

นอกจากฟีเจอร์หลักทั้ง 6 ข้อในข้างต้นแล้ว Apple ยังมีฟีเจอร์อื่น ๆ ที่อัปเดตมาให้ผู้ใช้ เช่น

  • VoiceOver ที่ผู้ใช้จะสามารถควบคุมและตั้งค่าได้มากขึ้น
  • Magnifier ที่มีโหมดนักอ่านขึ้นมาใหม่ หรือการเข้า Detection Mode ได้ง่ายขึ้นผ่าน Action Buttons
  • Braille Screen Input ที่สามารถควบคุมและแก้ไขได้ง่ายขึ้น และยังมีการรองรับภาษาญี่ปุ่น
  • Hover Typing แสดงตัวอักษรขนาดใหญ่ขึ้น และสามารถเลือกฟอนต์และสีที่ผู้ใช้ต้องการได้
  • Personal Voice เพิ่มภาษาจีนกลาง และผู้ใช้ที่มีปัญหาในการออกเสียงประโยคเต็มจะสามารถสร้าง Personal Voice เพื่อย่อประโยคได้
  • ผู้ที่มีปัญหาทางกายภาพจะมี Virtual Trackpad สำหรับ Assistive Touch ทำให้ผู้ใช้ควบคุมอุปกรณ์ได้ผ่านพื้นที่เล็ก ๆ บนหน้าจอ
  • Voice Control รองรับคำศัพท์ซับซ้อนและคำศัพท์ที่ตั้งขึ้นมาเอง