CMF แบรนด์ย่อยของ Nothing ซึ่งเน้นการออกแบบสมาร์ตโฟนที่แปลกตาเช่นเดียวกับแบรนด์แม่ แต่ราคาประหยัดกว่า ได้เปิดตัวสมาร์ตโฟนระดับ Pro รุ่นแรกของแบรนด์ นั่นคือ CMF Phone 2 Pro ซึ่งได้รับการอัปเกรดประสิทธิภาพกล้องอย่างก้าวกระโดดจาก CMF Phone 1 เมื่อปี 2024

CMF Phone 2 Pro มาพร้อมกล้องหลักความละเอียด 50 ล้านพิกเซล เท่ากับ Phone 1 แต่ใช้ศักยภาพจากเซนเซอร์ที่ใหญ่ขึ้นเป็น 1/1.57 นิ้ว ซึ่งช่วยให้เก็บแสงได้มากขึ้น 64% พร้อมรองรับการบันทึกวิดีโอ 4K ที่ 30 เฟรมต่อวินาที, 1080p ที่ 60 เฟรมต่อวินาที และลดการสั่นของภาพด้วย AI

ในขณะที่ CMF Phone 1 นั้น มาพร้อมกล้องหลักเพียงตัวเดียว แต่ CMF Phone 2 Pro ได้รับการติดตั้งกล้อง 2 ตัว ได้แก่ กล้องซูม (Telephoto) ความละเอียด 50 ล้านพิกเซล ซึ่งใช้เซนเซอร์ขนาด 1/2.88 นิ้ว, รูรับแสง f/1.85, ซูมแบบไม่เสียความละเอียดได้ 2 เท่า และซูมดิจิทัลได้ 20 เท่า

CMF Phone 2 Pro

และกล้อง Ultrawide ความละเอียด 8 ล้านพิกเซล มุมกว้าง 119.5 องศา ซึ่งใช้เซนเซอร์ขนาด 1/4 นิ้ว และรูรับแสง f/2.2 ในขณะที่กล้องเซลฟียังคงมีความละเอียด 16 ล้านพิกเซล ซึ่งใช้เซนเซอร์ขนาด 1/3 นิ้ว และรูรับแสง f/2.45 เท่าเดิม

อีกหนึ่งไฮไลต์สำคัญ คือ การขยายแนวคิดด้านดีไซน์ตัวเครื่องแบบโมดูลาร์ (เปลี่ยนชิ้นส่วนฝาหลังได้) ใน CMF Phone 1 ไปยังระบบกล้องได้อย่างน่าสนใจ โดย CMF Phone 2 Pro นั้น มาพร้อมเลนส์เสริมที่สามารถถอดเปลี่ยนเพื่อเพิ่มลูกเล่นให้กับการถ่ายภาพ ได้แก่ เลนส์ Macro และ Fisheye รวมถึงอุปกรณ์เสริมที่มีประโยชน์หลายด้าน เช่น กระเป๋าเงินหรือแท่นวางสมาร์ตโฟนที่สามารถติดกับฝาหลังได้ เป็นต้น

CMF Phone 2 Pro

CMF Phone 2 Pro ได้อัปเกรดมาใช้หน้าจอขนาดใหญ่ขึ้น จาก 6.67 นิ้ว เป็น 6.77 นิ้ว ความละเอียด 1080p ในอัตราส่วน 19.9:9, รีเฟรชเรต 120 Hz, ค่าสีระดับ 10 บิต, รองรับเนื้อหาบนมาตรฐานสี HDR10+, ความสว่างสูงสุด 3,000 Nits และป้องกันรอยด้วยกระจก Panda Glass

สมาร์ตโฟนดังกล่าวยังได้อัปเกรดมาตรฐานกันน้ำและฝุ่นจาก IP52 เป็น IP54 ซึ่งช่วยป้องกันตัวเครื่องจากน้ำที่ฉีดใส่รอบทิศทาง ภายใต้บอดีที่บางลงจาก 8.2 มม. เป็น 7.8 มม. และน้ำหนักน้อยลงจาก 197 กรัม เป็น 185 กรัม แต่จะยังคงมาพร้อมแบตเตอรี่ความจุ 5,000 mAh เท่าเดิม โดยรองรับการชาร์จไฟ 33 W ซึ่งทางแบรนด์อ้างว่ารองรับการชม YouTube ต่อเนื่องได้ถึง 22 ชั่วโมง, เล่นเกม Battlegrounds Mobile ต่อเนื่องได้ถึง 10 ชั่วโมง และคงศักยภาพแบตเตอรี่ได้ถึง 90% หลังผ่านการชาร์จไป 1,200 รอบ

ด้านการประมวลผลนั้น ได้รับการติดตั้งชิปเซต MediaTek Dimensity 7300 ความเร็วสูงสุด 2.5 GHz ซึ่งมีซีพียู (หน่วยประมวลผลกลาง) เร็วขึ้น 10% และจีพียู (หน่วยประมวลผลกราฟิก) เร็วขึ้น 5% เมื่อเทียบกับรุ่นก่อน โดยทำงานบนซอฟต์แวร์ระบบปฏิบัติการ Nothing OS 3.2 ที่พัฒนาขึ้นบนพื้นฐานของ Android 15 ซึ่งรองรับการอัปเกรดซอฟต์แวร์เป็นระยะเวลา 3 ปี และอัปเดตแพตช์ความปลอดภัยเป็นระยะเวลา 6 ปี

นอกจากนี้ยังรองรับการเชื่อมต่อ NFC สำหรับการชำระเงินแบบไร้สาย (Wireless Payment) ซึ่งเป็นฟีเจอร์สำคัญที่ขาดไปใน CMF Phone 1

CMF Phone 2 Pro มีด้วยกัน 4 สี ได้แก่ สีขาว (พื้นผิวฝาหลังคล้ายหินทราย), สีดำ, สีเขียวอ่อน (พื้นผิวฝาหลังคล้ายกระจกฝ้า) และสีส้มที่เงางามอันเป็นเอกลักษณ์ ซึ่งจะได้รับการวางจำหน่ายในวันที่ 6 พฤษภาคม 2025 โดยมีราคาดังนี้

  • แรม 8 GB + สตอเรจ 128 GB : 250 ยูโร หรือประมาณ 9,500 บาท
  • แรม 8 GB + สตอเรจ 256 GB : 280 ยูโร หรือประมาณ 10,700 บาท

สำหรับชุดอุปกรณ์เสริมต่าง ๆ จะวางจำหน่ายผ่านเว็บไซต์ nothing.tech เท่านั้น โดยมีราคาดังนี้

  • ชุดเลนส์ Macro และ Fisheye : 35 ยูโร หรือประมาณ 1,300 บาท
  • ฝาหลังที่มีประโยชน์หลายด้าน : 25 ยูโร หรือประมาณ 950 บาท
  • กระเป๋าเงิน/แท่นวางสมาร์ตโฟน : 35 ยูโร หรือประมาณ 1,300 บาท