ในที่สุด Samsung ได้เปิดตัวสมาร์ตโฟนเรือธงดีไซน์บางเฉียบรุ่นแรกของแบรนด์ นั่นคือ Galaxy S25 Edge อย่างเป็นทางการ ซึ่งเป็นการดึงความสนใจของผู้บริโภคก่อนที่ Apple จะเปิดตัว iPhone 17 Air ที่มีบอดีบางเฉียบ ในปลายปี 2025 นี้
Samsung Galaxy S25 Edge นั้น ได้รับการออกแบบโดยเน้นไปที่ความทนทานและบอดีที่บางอย่างน่าเหลือเชื่อ โดยตัวเครื่องที่มีความบางเพียง 5.8 มม. และมีน้ำหนักเพียง 163 กรัม เสริมความแข็งแกร่งด้วยกรอบตัวเครื่องผลิตด้วยวัสดุไทเทเนียม และมาตรฐานกันน้ำและฝุ่น IP68 ซึ่งช่วยป้องกันตัวเครื่องน้ำลึก 1.5 เมตร ได้นานสูงสุด 30 นาที
ด้วยการออกแบบตัวเครื่องที่บางและเบาลงระดับนี้ ส่งผลให้ต้องลดขนาดแบตเตอรี่ลงมาอยู่ที่ 3,900 mAh (Galaxy S25 รุ่นมาตรฐาน มีความจุแบตเตอรี่อยู่ที่ 4,000 mAh) โดยรองรับการชาร์จไฟ 25 W ซึ่งสามารถชาร์จจาก 0% – 55% ได้ใน 30 นาที และรองรับการชาร์จไฟไร้สายด้วย


Samsung Galaxy S25 Edge ยังได้รับการติดตั้งแผงหน้าจอ Dynamic AMOLED 2X ขนาด 6.7 นิ้ว ความละเอียด QHD+ ซึ่งรองรับรีเฟรชเรตหลายระดับ ตั้งแต่ 1 – 120 Hz ช่วยให้แสดงเนื้อหาที่แตกต่างกันได้อย่างเหมาะสม และป้องกันรอยด้วยกระจก Corning Gorilla Glass Ceramic 2

ด้านการประมวลผลนั้น ใช้ศักยภาพจากชิปเซต Qualcomm Snapdragon 8 Elite for Galaxy ซึ่งมีความเร็วในการประมวลผลสูงสุด 4.47 GHz โดยทำงาน่วมกับแรม 12 GB และสตอเรจ 256 – 512 GB บนซอฟต์แวร์ระบบปฏิบัติการ Android 15 ครอบด้วยซอฟต์แวร์ One UI 7

ด้านการถ่ายภาพนั้นได้รับการติดตั้งกล้องหลักด้านหลังตัวเครื่อง ความละเอียด 200 ล้านพิกเซล พร้อมรูรับแสง f/1.7, ระบบกันสั่น (Optical Image Stabilization) และสามารถซูมแบบไม่เสียความละเอียด (Optical Zoom) ได้ 2 เท่า เสริมด้วยกล้อง Ultrawide ความละเอียด 12 ล้านพิกเซล พร้อมรูรับแสง f/2.2 ซึ่งสามารถถ่ายภาพ Macro ได้ ในขณะที่กล้องเซลฟีมีความละเอียด 12 ล้านพิกเซล พร้อมรูรับแสง f/2.2
Samsung Galaxy S25 Edge มีด้วยกัน 3 สี ได้แก่ Titanium Silver, Titanium Jetblack และ Titanium Icyblue โดยมีราคาดังนี้
- 12 GB + 256 GB : 1,099.99 เหรียญ หรือประมาณ 36,500 บาท
- 12 GB + 512 GB : 1,219.99 เหรียญ หรือประมาณ 40,600 บาท
