เป็นข่าวดีของคนใช้ Android สุด ๆ เพราะปีนี้ Google เตรียมปล่อย Android 16 เวอร์ชันใหม่ที่ได้อัปเกรดฟีเจอร์ในหลายด้าน โดยเฉพาะด้านความปลอดภัย ที่จะทำให้เหล่ามิจฉาชีพอยู่ยากกว่าเดิม ด้วยการเอา AI มาตรวจจับการหลอกลวง รวมถึงการตรวจหาอุปกรณ์ที่แม่นยำกว่าเดิม !

AI สแกนข้อความหลอกลวงได้
หลังจากที่ Google ได้เปิดตัวฟีเจอร์ AI ที่ช่วยตรวจจับข้อความหลอกลวงจากรูปแบบภาษาที่พบบ่อยไปเมื่อเดือนมีนาคมแล้ว ใน Android 16 นี้ Google ได้พัฒนาโมเดล AI ให้ฉลาดล้ำไปอีกขั้น สามารถตรวจจับข้อความหลอกลวง (Scam) ได้หลากหลายรูปแบบมากขึ้น เช่น พวกข้อความทวงค่าผ่านทางปลอม หรือข้อความหลอกให้ติดตั้งแอปฯ ดูดเงิน ที่กำลังระบาดหนักในบ้านเรา ใครที่เคยได้รับ SMS แปลก ๆ ชวนให้คลิกลิงก์น่าสงสัย ต่อไปนี้ Android 16 จะช่วยสกรีนให้ในระดับหนึ่ง
AI ตรวจจับข้อความหลอกลวงทำงานอย่างไร ? หลักการคือ AI จะเรียนรู้จากข้อมูลมหาศาล ทั้งจากข้อความที่ถูกรายงานว่าเป็นข้อความหลอกลวงและข้อความปกติทั่วไป โดยใช้เทคนิคอย่าง Machine Learning, Natural Language Processing (NLP) เพื่อวิเคราะห์รูปแบบภาษาที่น่าสงสัย เช่น การใช้คำที่กระตุ้นความกลัวหรือความโลภ, การอ้างหน่วยงานราชการหรือบริษัทเอกชนแบบผิด ๆ หรือการมีลิงก์ที่น่าสงสัยแนบมาด้วย เมื่อ AI ตรวจพบข้อความที่มีลักษณะเข้าข่าย ก็จะแจ้งเตือนผู้ใช้งานทันที
Google Play Protect เด็ดขึ้นกว่าเดิม
เท่านั้นยังไม่พอ Google Play Protect ที่เป็นเหมือนป้อมยามของ Android เวลาที่เราจะติดตั้งหรือเรียกใช้แอปฯ ก็ได้รับการอัปเกรดให้วิเคราะห์รูปแบบของแอปพลิเคชันได้รวดเร็วยิ่งขึ้น ทำให้สามารถตรวจจับและเปิดโปงแอปฯ อันตราย หรือแอปฯ ที่แฝงมัลแวร์ได้ไวกว่าเดิม
สำหรับใครที่ไม่คุ้นเคย Google Play Protect คือระบบรักษาความปลอดภัยที่ Google ติดตั้งมาให้ใน Android ทุกเครื่อง ทำหน้าที่เหมือนยามคือ สแกนแอปฯ ทั้งก่อนติดตั้งและสแกนอยู่เสมอเมื่อติดตั้งในเครื่องแล้ว เพื่อให้มั่นใจว่าไม่มีแอปฯ อันตรายแอบแฝงเข้ามาทำร้ายเครื่องของเราได้
ตัดตอนแก๊งคอลเซนเตอร์ ! ป้องกันการให้สิทธิ์มั่วซั่ว
หนึ่งในไฮไลต์เด็ดของ Android 16 ที่น่าจะถูกใจใครหลายคน คือต่อไปนี้เราจะไม่สามารถให้สิทธิ์การเข้าถึง (Accessibility Privileges) บางอย่างแก่แอปพลิเคชันได้เลย หากกำลังคุยโทรศัพท์กับเบอร์ที่ไม่รู้จัก ! ซึ่งฟีเจอร์นี้ออกมาเพื่อต่อกรกับเหล่าแก๊งคอลเซนเตอร์โดยเฉพาะ ที่มักจะหลอกให้เหยื่อกดอนุญาตสิทธิ์ต่าง ๆ เพื่อเข้าควบคุมเครื่องจากระยะไกล งานนี้บอกเลยว่าแก๊งคอลเซนเตอร์มีหนาวแน่นอน เพราะจะไม่สามารถหลอกให้เหยื่อกดให้สิทธิ์มั่วซั่วได้ง่าย ๆ อีกต่อไป
นอกจากนี้ยังมีฟีเจอร์ใหม่ชื่อว่า “Key Verifier” ที่จะมาช่วยป้องกันมิจฉาชีพสวมรอยเป็นคนรู้จัก โดยระบบนี้จะอนุญาตให้คุณและผู้ติดต่อที่ไว้ใจสามารถแลกเปลี่ยน Public Encryption Key (กุญแจเข้ารหัสสาธารณะ) เพื่อยืนยันตัวตนของกันและกันได้
อธิบายง่าย ๆ คือ Public Key Cryptography เป็นระบบการเข้ารหัสที่ใช้กุญแจสองดอก คือ Public Key (เปิดเผยได้) และ Private Key (เก็บไว้ส่วนตัว) เมื่อต้องการส่งข้อมูลลับให้ใคร ก็จะเข้ารหัสด้วย Public Key ของผู้รับ และผู้รับเท่านั้นที่สามารถถอดรหัสด้วย Private Key ของตัวเองได้ ดังนั้น Key Verifier จะช่วยให้มั่นใจได้ว่าคนที่คุณกำลังคุยด้วยคือตัวจริง ไม่ใช่สแกมเมอร์ที่สวมรอยมา
Android 16 ทำให้โจรขโมยมือถือปวดหัวกว่าเดิม
Android 16 ไม่ได้มีดีแค่ป้องกันสแกม แต่ยังจัดเต็มฟีเจอร์ใหม่ ๆ สำหรับป้องกันมือถือจากการถูกขโมยอีกด้วย เริ่มด้วยฟีเจอร์ “Identity Check” ที่จะบังคับให้มีการยืนยันตัวตนด้วยข้อมูลชีวมาตร (Biometrics) เช่น สแกนลายนิ้วมือหรือใบหน้าเพิ่มเติมอีกชั้น หากต้องการเปลี่ยนแปลงการตั้งค่าที่สำคัญของเครื่อง เมื่ออยู่นอกสถานที่ปลอดภัยที่ผู้ใช้กำหนดไว้ (เช่น บ้าน หรือที่ทำงาน) ฟีเจอร์นี้เปิดตัวไปแล้วในมือถือ Pixel และ Galaxy บางรุ่นเมื่อเดือนมกราคมที่ผ่านมา และใน Android 16 จะขยายให้ใช้ได้ในวงกว้างมากขึ้น

การอัปเกรดเหล่านี้จะช่วยป้องกันการแอบยืนส่องรหัสจากด้านหลัง แล้วขโมยมือถือไปปลดล็อกเอง รวมถึงป้องกันการเจาะเข้าบัญชีธนาคารในเครื่องอีกด้วย นอกจากนี้ยังมีการตั้งคำถามความปลอดภัยเพื่อปิดการล็อกเครื่องจากระยะไกล และเพิ่มข้อจำกัดว่าสามารถทำอะไรกับเครื่องได้บ้างหลังจากถูก Factory Reset ทำให้โจรเอาเครื่องไปล้างแล้วใช้งานต่อได้ยากยิ่งขึ้น
อีกหนึ่งทีเด็ดคือ ถ้ามือถือ Android 16 ไม่ได้ถูกปลดล็อกหรือเชื่อมต่อ Wi-Fi เป็นเวลานาน หน้าจอล็อกจะซ่อนรหัสยืนยันตัวตนแบบสองชั้น (2FA) ที่ส่งมาทาง SMS โดยอัตโนมัติ เพื่อป้องกันไม่ให้โจรที่ขโมยเครื่องไปแล้วแอบดูรหัส 2FA จากหน้าจอล็อกเพื่อนำไปเข้าระบบต่าง ๆ ของเราได้

Advanced Protection รวมศูนย์ความปลอดภัยไว้ในที่เดียว
เพื่อให้การจัดการความปลอดภัยง่ายขึ้น Android 16 จะรวมศูนย์การควบคุมความปลอดภัยทั้งหมดไว้ภายใต้ฟีเจอร์ระดับอุปกรณ์ตัวเดียวที่เรียกว่า “Advanced Protection” โดยตราบใดที่สวิตช์ Advanced Protection นี้เปิดใช้งานอยู่ ฟีเจอร์ย่อย ๆ ที่อยู่ภายใต้การดูแลของมัน (เช่น ฟีเจอร์ป้องกันการให้สิทธิ์ขณะคุยกับเบอร์แปลกหน้า หรือ Identity Check) จะไม่สามารถปิดการใช้งานได้เลย เป็นการบังคับใช้มาตรการความปลอดภัยขั้นสูงแบบยกชุด เพื่อให้ผู้ใช้มั่นใจได้เต็มที่
Find My Device อัปเกรดสู่ “Find Hub” ตามหาได้ทุกสิ่งอย่าง !
ปิดท้ายด้วยการอัปเกรดครั้งสำคัญของฟีเจอร์ตามหามือถืออย่าง Find My Device ที่ Google ได้ขยายศักยภาพให้กลายเป็น “Find Hub” แดชบอร์ดสุดล้ำที่สามารถตามหาอุปกรณ์อัจฉริยะ หรือ Bluetooth Tag ได้แทบทุกชนิด ไม่ใช่แค่มือถืออีกต่อไป !

Find Hub จะใช้เทคโนโลยี Ultra-Wide Band (UWB) บนอุปกรณ์ที่รองรับ เพื่อระบุตำแหน่งของอุปกรณ์ได้อย่างแม่นยำยิ่งขึ้น UWB เป็นเทคโนโลยีไร้สายที่ใช้คลื่นวิทยุความถี่สูงและแบนด์วิดท์กว้างกว่า Bluetooth หรือ Wi-Fi ทำให้สามารถวัดระยะทางและตำแหน่งได้ละเอียดกว่ามาก และที่เจ๋งไปกว่านั้นคือ Find Hub สามารถสื่อสารผ่านดาวเทียมได้ด้วย ! นั่นหมายความว่า ต่อให้มือถือหรืออุปกรณ์ของเราอยู่นอกพื้นที่สัญญาณโทรศัพท์ ก็ยังคงมีโอกาสตามหาเจอได้
จะเห็นว่า Android 16 มากับฟีเจอร์ความปลอดภัยที่ช่วยให้เราปลอดภัยได้แบบจัดเต็ม ที่จะทำให้มิจฉาชีพหากินกับมือถือ Android ได้ยากขึ้น หรือถ้าใครอยากดูวิดีโอเต็ม ๆ ก็ดูได้ที่ลิงก์นี้เลย