หลังจากที่มีข่าวลือว่า AMD จะเปิดตัวสถาปัตยกรรม Zen 6 “Morpheus” ที่มากับการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ที่มากับประสิทธิภาพแบบก้าวกระโดดจากการออกแบบแกนประมวลผล (Core) ใหม่หมดบนสายพานการผลิตแบบ 2 nm. ทาง Intel เองก็มีข่าวลือออกมาเหมือนกันว่าจะยกเครื่องการออกแบบชิปเซตใน Nova Lake-S ใหม่ทั้งหมดโดยจะมากับแกนประมวลผลสูงสุดถึง 52 คอร์

โดยข่าวลือนี้มาจากนักข่าววงในอย่าง @chi11eddog และ @jaykihn0 ที่ออกมาโพสต์สเปกของ Nova Lake-S ที่น่าจะเปิดตัวในช่วงครึ่งหลังของปี 2026 พร้อมกับการยกเครื่องดีไซน์และเป้าหมายด้านประสิทธิภาพแบบที่ไม่เคยมีมาก่อน

สำหรับรุ่นเรือธงอย่าง Intel Core Ultra 9 385K นั้น มีข่าวลือว่าจะมาพร้อมกับแกนประมวลผลถึง 52 คอร์ โดยแบ่งเป็นคอร์ประสิทธิภาพสูง (P-core) จำนวน 16 คอร์, คอร์เน้นประหยัดพลังงาน (E-core) จำนวน 32 คอร์ และคอร์พลังงานต่ำพิเศษ (LPE-core) อีก 4 คอร์ ซึ่งถ้าข่าวนี้เป็นจริง จะทำให้นี่กลายเป็นชิปเซตสำหรับคอมฯ ตั้งโต๊ะที่ทรงพลังที่สุดเท่าที่ Intel เคยผลิตมาเลยทีเดียว เพราะนี่คือการเพิ่มจำนวนคอร์มากกว่าสองเท่าเมื่อเทียบกับ Intel Core Ultra 9 285K รุ่นปัจจุบันที่มีสูงสุดเพียง 24 คอร์ และไม่มี LPE-core หรือคอร์ประหยัดพลังงานพิเศษ

นอกจากรุ่นเรือธงแล้ว ยังมีการคาดเดาว่า Intel Nova Lake-S จะมีหลายรุ่น เริ่มต้นที่ 12 คอร์ ไปจนถึงรุ่นเรือธง 52 คอร์ โดยในส่วนของ Intel Core Ultra 7 มีรายงานว่าจะมาพร้อมกับ 42 คอร์ (14 P-core​ + 24 E-core + 4 LPE-core) ในขณะเดียวกัน Intel Core Ultra 5 ก็มีข่าวลือว่าจะมีถึง 3 รุ่นย่อย ได้แก่ รุ่น 28 คอร์ (8 P-core + 16 E-core), รุ่น 24 คอร์ (8 P-core + 12 E-core) และรุ่น 18 คอร์ (6 P-core + 8 E-core) แม้แต่ Intel Core Ultra 3 ระดับเริ่มต้น ก็คาดว่าจะมาพร้อมกับ 12 คอร์ และ16 คอร์ โดยจะมี 4 LPE-core และมีอัตราการใช้พลังงาน (TDP) อยู่ที่ 65 วัตต์ ทั้งคู่

สรุปสเปกที่หลุดมาของ Nova Lake-S (คาดการณ์):

  • Core Ultra 9 (52 Cores): 16 P-Cores + 32 E-Cores + 4 LP-E Cores, 150W
  • Core Ultra 7 (42 Cores): 14 P-Cores + 24 E-Cores + 4 LP-E Cores, 150W
  • Core Ultra 5 (28 Cores): 8 P-Cores + 16 E-Cores + 4 LP-E Cores, 125W
  • Core Ultra 5 (24 Cores): 8 P-Cores + 12 E-Cores + 4 LP-E Cores, 125W
  • Core Ultra 5 (18 Cores): 6 P-Cores + 8 E-Cores + 4 LP-E Cores, 125W
  • Core Ultra 3 (16 Cores): 4 P-Cores + 8 E-Cores + 4 LP-E Cores, 65W
  • Core Ultra 3 (12 Cores): 4 P-Cores + 4 E-Cores + 4 LP-E Cores, 65W

สำหรับดีไซน์นั้น คาดว่า CPU ตระกูลนี้จะใช้การออกแบบแบบ Tile-based โดยจะมีการแยก LPE-core ไปอยู่ใน Die อีกส่วนหนึ่ง ซึ่งเป็นแนวทางเดียวกับที่ Intel เริ่มใช้ใน Meteor Lake

หัวใจสำคัญของ Nova Lake-S คือเรื่องความยืดหยุ่นและประสิทธิภาพด้วยสถาปัตยกรรมแบบ Multi-tile โดย P-core ที่ใช้ดีไซน์ใหม่ล่าสุดอย่าง Coyote Cove จะเน้นการทำงานแบบ Single-threaded ที่ต้องการพลังประมวลผลสูง ในขณะที่ E-core ที่ใช้สถาปัตยกรรม Arctic Wolf จะถูกปรับแต่งให้เหมาะกับการทำงานแบบ Multi-threaded ส่วน LPE-core นั้นเป็นพัฒนาการต่อยอดจาก E-core ออกแบบมาเพื่อรองรับงานเบื้องหลังและการทำงานที่ต้องการพลังงานต่ำเป็นพิเศษ ซึ่งจะช่วยลดการใช้พลังงานโดยรวม

ในส่วนของแพลตฟอร์ม Nova Lake-S จะมาพร้อมกับ Socket LGA 1854 ใหม่ และชิปเซต 900-series ซึ่งหมายความว่าใครที่ใช้ Intel Core Ultra 200 จะต้องเปลี่ยนเมนบอร์ดใหม่

นอกจากนี้ @jaykihn0 ยังบอกอีกว่าจะรองรับหน่วยความจำ DDR5 ที่ความเร็วสูงสุดถึง 8000 MT/s ซึ่งเร็วกว่า Arrow Lake-S ถึง 50% และอาจจะรองรับความเร็วที่สูงกว่า 10000 MT/s สำหรับโมดูลประสิทธิภาพสูงที่ออกแบบมาสำหรับผู้ที่ชื่นชอบการโอเวอร์คล็อกโดยเฉพาะ

นอกจากนี้ ชิปเซตใหม่ยังคาดว่าจะรองรับ PCIe สูงสุดถึง 48 ช่อง โดย 24 ช่องจะเป็น PCIe 5.0 ที่มาจากชิปโดยตรง พร้อมกับการขยายการเชื่อมต่อ USB และ SATA เพื่อรองรับสเปกระดับ Hi-end

อีกหนึ่งก้าวกระโดดที่สำคัญคือเรื่องของกราฟิก มีข่าวลือว่า Nova Lake-S จะใช้สถาปัตยกรรม iGPU แบบ Hybrid โดยจะมี Xe3 “Celestial” ที่เน้นการเรนเดอร์กราฟิกสำหรับเกม และ Xe4 “Druid” สำหรับการจัดการหน้าจอและการเล่นวิดีโอ

การแยกส่วนการทำงานนี้จะช่วยให้ Intel สามารถปรับแต่งแต่ละส่วนให้เหมาะสมกับรูปแบบงานได้ อาจทำให้มีประสิทธิภาพที่ดีขึ้นทั้งในด้านเกมและการสร้างสรรค์คอนเทนต์ รวมถึงการเข้ารหัสและถอดรหัสไฟล์มีเดียที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น นอกจากนี้การออกแบบแบบชิปยังช่วยให้ Intel มีความยืดหยุ่นในการเลือกใช้ส่วนประกอบจากกระบวนการผลิตที่แตกต่างกัน เพื่อสร้างบาลานซ์ระหว่างต้นทุนและประสิทธิภาพ

การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่นี้ แสดงให้เห็นถึงความตั้งใจของ Intel ที่จะกลับมาเป็นผู้นำในตลาดซีพียูคอมฯ ตั้งโต๊ะอีกครั้ง เพื่อแข่งกับ AMD ก็กำลังเตรียมเปิดตัวชิป Zen 6 เจนเนอเรชันถัดไป ซึ่งจะมาพร้อมกับจำนวนคอร์ที่มากขึ้นและประสิทธิภาพต่อคอร์ที่มีการอัปเกรด ยังไงเราก็ต้องจับตาดูกันต่อไปว่า Intel จะสามารถทวงบัลลังก์กลับมาได้หรือไม่!