Nothing แบรนด์เทคโนโลยีที่เน้นพัฒนาอุปกรณ์ระดับพรีเมียมพร้อมดีไซน์ที่ล้ำสมัย เตรียมเปิดตัวสมาร์ตโฟนระดับพรีเมียมรุ่นถัดไปของแบรนด์ นั่นคือ Phone (3) ในวันที่ 1 กรกฎาคม 2025 โดยก่อนหน้านี้มีการเปิดเผยข้อมูลจากแหล่งข่าววงในมากมายที่อ้างถึงรายละเอียดสเปกและดีไซน์บางส่วนของสมาร์ตโฟนดังกล่าว
ล่าสุด เว็บไซต์ Android Headlines ได้เปิดเผยภาพเรนเดอร์อย่างเป็นทางการของ Nothing Phone (3) ซึ่งเผยให้ทราบดีไซน์ตัวเครื่องทั้งสีขาว และสีดำ (หรืออาจเรียกว่าสีเทา) อย่างชัดเจน


ภาพชุดนี้ทำให้ทราบว่า Nothing Phone (3) มาพร้อมหน้าจอที่มีขอบจอบาง และเจาะรูสำหรับติดตั้งกล้องเซลฟี แต่สิ่งที่น่าสนใจ คือ ด้านหลังตัวเครื่องซึ่งมีดีไซน์สุดล้ำที่แตกต่างออกไปจากรุ่นก่อนหน้านี้อย่างสิ้นเชิง โดยเฉพาะการจัดวางตำแหน่งกล้องหลัง และอาจนำมาซึ่งการถกเถียงในโลกออนไลน์ต่อไปก็เป็นได้
Nothing Phone (3) นั้น ได้รับการติดตั้งกล้องหลัง จำนวน 3 ตัว โดยกล้องตัวหนึ่งได้รับการติดตั้งที่มุมบนซ้ายสุด ใกล้กับขอบตัวเครื่องมาก ซึ่งดูแปลกตาไปจากสมาร์ตโฟนรุ่นอื่น ๆ ในตลาดปัจจุบัน

ก่อนหน้านี้ Nothing ได้ยืนยันว่า กล้องที่ติดตั้งอยู่บนตำแหน่งสุดดังกล่าว คือ กล้องซูมแบบ Periscope ความละเอียด 50 ล้านพิกเซล กอปรกับมีข่าวลือว่ากล้องอีก 2 ตัว ที่ติดตั้งในตำแหน่งถัดมาด้านล่าง คือ กล้องหลักความละเอียด 50 ล้านพิกเซล และกล้อง Ultrawide ความละเอียด 50 ล้านพิกเซล
นอกจากนี้ยังได้รับการติดตั้งระบบแสดงไฟ LED แบบ Glyph Matrix รูปทรงกลม ที่มุมบนขวาของด้านหลังตัวเครื่องด้วย


ภาพเรนเดอร์ดังกล่าวยังเผยให้ทราบว่าบอดีของ Nothing Phone (3) นั้น ได้รับการผลิตด้วยวัสดุโลหะ, ติดตั้งปุ่ม Volume ที่ขอบด้านซ้ายของตัวเครื่อง ในขณะที่ปุ่ม Power นั้น ได้รับการติดตั้งอยู่ที่ขอบด้านขวาของตัวเครื่อง พร้อมด้วยปุ่มลึกลับอีก 1 ปุ่ม ซึ่งอาจเป็น Essential Key ที่เคยปรากฏให้เห็นบน Phone (3a) และ Phone (3a) Pro ที่ได้รับการเปิดตัวเมื่อปลายเดือนมีนาคม 2025 ที่ผ่านมา
สำหรับสเปกด้านอื่น ๆ นั้น มีข่าวลือว่าจะได้รับการติดตั้งจอ OLED ขนาด 6.7 นิ้ว ความละเอียด Full HD+, กล้องเซลฟี ความละเอียด 50 ล้านพิกเซล, และแบตเตอรี่ขนาดความจุ 5,150 mAh พร้อมรองรับการชาร์จไฟเร็ว 100 W

นอกจากนี้ Nothing ยังได้ยืนยันก่อนหน้านี้ว่า Nothing Phone (3) จะขับเคลื่อนด้วยชิปเซตระดับพรีเมียมอย่าง Snapdragon 8s Gen 4 ที่ Qualcomm เพิ่งเปิดตัวไปเมื่อเดือนเมษายน 2025 ที่ผ่านมา ซึ่งได้รับการผลิตด้วยเทคโนโลยี 4 นาโนเมตร และมีความเร็วในการประมวลผลสูงสุด 3.21 GHz และยืนยันว่าจะรองรับการอัปเกรดซอฟต์แวร์เป็นระยะเวลา 5 ปี และอัปเดตแพตช์ความปลอดภัยเป็นระยะเวลา 7 ปี