ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา โดนัลด์ ทรัมป์ (Donald Trump) เปิดเผยเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมาว่ารัฐบาลจะถือหุ้นความเป็นเจ้าของ Intel มากถึงเกือบ 10%
ข้อตกลงเข้าซื้อในครั้งนี้จะทำให้ Intel ได้รับเงินสนับสนุนราว 10,000 ล้านเหรียญ (ราว 323,800 ล้านบาท) สำหรับการสร้างหรือขยายโรงงานในสหรัฐฯ โดยสหรัฐฯ จะเข้าซื้อหุ้น Intel 9.9% มูลค่าหุ้นละ 20.47 เหรียญ (ราว 670 บาท) รวมทั้งสิ้น 433.3 ล้านเหรียญ (ราว 14,030 ล้านบาท)
เงินก้อนนี้จะรวมกับเงินสนับสนุนอีก 5,700 ล้านเหรียญ (ราว 184,566 ล้านบาท) ซึ่งเป็นเงินสนับสนุนที่รัฐบาลค้างจ่ายจากในยุครัฐบาล โจ ไบเดน (Joe Biden) ภายใต้กฎหมาย CHIPS Act และเงินในส่วนอื่นจากโครงการ Secure Enclave
เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา ทรัมป์ได้เข้าพบกับ ตัน ลิปบู (Tan Lip-bu) ซีอีโอของ Intel ซึ่งทรัมป์ชี้ว่าตันต้องการ “รักษาตำแหน่งเอาไว้” และได้สนับสนุนงบประมาณให้กับสหรัฐฯ แม้ว่าก่อนหน้านี้ ทรัมป์เคยออกมาเรียกร้องให้ตันลาออก เนื่องจากความสัมพันธ์ที่ตันมีกับบริษัทต่าง ๆ ในจีน
ด้าน ฮาเวิร์ด ลัตนิก (Howard Lutnick) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์สหรัฐฯ เผยว่าตันได้ทำสัญญาที่ “ยุติธรรมกับ Intel และยุติธรรมกับชาวอเมริกัน”
Intel ชี้ว่าการเข้าถือหุ้นของสหรัฐฯ จะเป็นในลักษณะการถือหุ้นระยะยาวและไม่ได้เข้าไปมีตำแหน่งในกรรมการบริหารของบริษัท แต่รัฐบาลจะต้องเข้าไปลงคะแนนเสียงหากมีกรณีที่ต้องได้รับความเห็นชอบจากผู้ถือหุ้นทั้งหมด โดยมีข้อยกเว้นบางประการ แต่ Intel ไม่ได้บอกว่าข้อยกเว้นที่ว่านี้มีอะไรบ้าง
นอกจากนี้ รัฐบาลยังมีสิทธิในการเข้าซื้อหุ้นเพิ่มอีก 5% ด้วยราคาหุ้นละ 20 เหรียญ (ราว 650 บาท) เป็นเวลา 5 ปี