Intel ออกมาเผยว่าการที่รัฐบาลสหรัฐอเมริกาจะเข้ามาถือหุ้นบริษัท 10% อาจก่อให้เกิดความเสี่ยงกับธุรกิจของ Intel ตั้งแต่การไปกระทบกับการขายในระหว่างประเทศ จนไปถึงการจำกัดความสามารถในการได้มาซึ่งเงินสนับสนุนของรัฐบาลในอนาคต
ความเสี่ยงทั้งหมดนี้ เป็นสิ่งที่ Intel ระบุในเอกสารหลักทรัพย์ที่ยื่นกับหน่วยงานกำกับดูแล หลังจากรัฐบาลของ โดนัลด์ ทรัมป์ (Donald Trump) ประกาศแปลงเงินสนับสนุนให้เป็นหุ้นความเป็นเจ้าของบริษัทถึง 10%
Intel ยังบอกอีกว่ายังไม่เป็นที่แน่ชัดนักว่าการเข้าซื้อหุ้นในครั้งนี้ของรัฐบาลอาจนำมาซึ่งความพยายามของหน่วยงานรัฐอื่น ๆ ที่จะทำในลักษณะเดียวกันหรือไม่ หรือว่าหน่วยงานอื่นอาจไม่ต้องการที่จะสนับสนุนเงินทุนต่อไป ซึ่งการที่แปลงเงินสนับสนุนก้อนดังกล่าวให้เป็นหุ้นเท่ากับว่าอาจไม่ได้รับประโยชน์จากโครงการ Secure Enclave ซึ่งเป็นอีกหนึ่งโครงการช่วยเหลือแล้ว
นอกจากนี้ ในเอกสารยังระบุด้วยว่าธุรกิจของ Intel ที่อยู่นอกสหรัฐฯ อาจได้รับผลกระทบจากการที่รัฐบาลสหรัฐฯ เข้ามาเป็นผู้ถือหุ้นหลัก เพราะอาจจะทำให้บริษัทต้องเผชิญกับมาตรการกำกับดูแลหรือข้อจำกัดทางกฎหมายเพิ่มเติมในบางประเทศ เช่น กฎหมายควบคุมการสนับสนุนเงินทุน
ยิ่งไปกว่านั้น การถือหุ้นของรัฐบาลจะไปลดความสามารถในการลงคะแนนเสียงของผู้ถือหุ้นรายอื่น และการที่มีอำนาจที่อยู่เหนือกฎหมายและข้อบังคับของรัฐบาล ก็อาจจะจำกัดความสามารถของ Intel ในการทำธุรกิจที่จะเป็นประโยชน์แก่ผู้ถือหุ้นรายอื่นด้วย
สำนักข่าว Reuters เผยว่า ยอดขายของ Intel นอกสหรัฐฯ คิดเป็น 76% ของรายได้ทั้งหมดในปีการเงินที่ผ่านมา ซึ่งสิ้นสุดเมื่อวันที่ 28 ธันวาคม 2024 ในจำนวนนี้เป็นรายได้จากจีนไปแล้ว 29%