OpenAI บริษัทผู้สร้าง AI ชื่อดังอย่าง ChatGPT กำลังจะขยายธุรกิจครั้งใหญ่ด้วยการเปิดตัวแพลตฟอร์มจัดหางานของตัวเองในชื่อ OpenAI Jobs Platform ที่ขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยี AI อย่างเต็มรูปแบบ โดยตั้งเป้าเปิดให้บริการได้ภายในกลางปี 2026
จุดเด่นของแพลตฟอร์มคืออะไร ?
แพลตฟอร์มนี้จะใช้ AI เป็นหัวใจหลักในการจับคู่คนที่ใช่กับงานที่ใช่ โดยจะวิเคราะห์ความต้องการของทั้งบริษัทและพนักงาน เพื่อให้เกิดการจ้างงานที่ลงตัวที่สุด และสามารถเข้าถึงบุคลากรที่มีความเชี่ยวชาญด้าน AI ได้ง่ายขึ้น

แพลตฟอร์มนี้มีชื่อว่า “OpenAI Jobs Platform” และคาดว่าจะเปิดตัวได้ภายในกลางปี 2026 โดย ฟิดจิ ซิโม (Fidji Simo) ซึ่งเป็น CEO ฝ่ายแอปพลิเคชันของ OpenAI บอกในบล็อกโพสต์ว่า พวกเขาจะ “ใช้ AI เพื่อช่วยหาคนที่ใช่ให้กับบริษัท และหาบริษัทที่ใช่ให้กับคนทำงาน”
นอกจากนี้ ซิโม ยังบอกอีกว่า แพลตฟอร์มนี้จะมีช่องทางพิเศษสำหรับธุรกิจขนาดเล็กและหน่วยงานท้องถิ่น เพื่อให้เข้าถึงคนที่มีความสามารถด้าน AI ได้โดยเฉพาะ
การขยับตัวครั้งนี้แสดงให้เห็นว่า OpenAI ไม่ได้ต้องการเป็นแค่บริษัททำแชตบอตเท่านั้น เพราะ แซม อัลต์แมน (Sam Altman) CEO ของ OpenAI ก็เคยเปรยไว้ว่าทีมของซิโมจะดูแลแอปพลิเคชันอื่น ๆ นอกเหนือจาก ChatGPT ซึ่งอาจรวมถึงเบราว์เซอร์และแอปฯ โซเชียลมีเดียที่กำลังมีข่าวลือด้วย
ที่น่าสนใจคือ แพลตฟอร์มนี้จะทำให้ OpenAI กลายเป็นคู่แข่งโดยตรงกับ LinkedIn ซึ่งเป็นบริษัทที่ร่วมก่อตั้งโดย รีด ฮอฟฟ์แมน (Reid Hoffman) ผู้ที่เป็นหนึ่งในผู้ลงทุนกลุ่มแรก ๆ ของ OpenAI โดย LinkedIn เองก็ยังเป็นของ Microsoft ซึ่งเป็นผู้สนับสนุนทางการเงินรายใหญ่ที่สุดของ OpenAI อีกด้วย

การแข่งขันกับยักษ์ใหญ่
ในขณะเดียวกัน LinkedIn เองก็กำลังเร่งพัฒนาฟีเจอร์ AI เพื่อช่วยจับคู่คนหางานกับบริษัทมาได้พักใหญ่แล้ว นอกเหนือจากเรื่องแพลตฟอร์มหางาน OpenAI ยังประกาศด้วยว่าจะเริ่มมอบใบรับรองให้กับผู้ที่มีความรู้ด้าน AI ในระดับต่าง ๆ ผ่านโครงการ “OpenAI Academy” ที่เปิดตัวไปเมื่อปีที่แล้ว โดยคาดว่าจะเริ่มโครงการนำร่องได้ช่วงปลายปี 2025
แม้ว่าผู้บริหารด้านเทคโนโลยีหลายคนจะกังวลว่า AI จะเข้ามาแย่งงานแบบเดิม ๆ ไปถึงครึ่งหนึ่งของงานประเภท White-collar (ลักษณะงานที่ปฏิบัติในสำนักงาน โดยเน้นใช้ความรู้ ความคิด การบริหารจัดการ หรือทักษะทางปัญญาเป็นหลัก) ก่อนปี 2030 แต่ซิโมก็กล่าวว่า OpenAI ไม่สามารถหยุดเรื่องนี้ได้ แต่สิ่งที่ทำได้คือช่วยให้คนมีความรู้ด้าน AI และเชื่อมโยงพวกเขากับบริษัทที่ต้องการทักษะเหล่านี้
AI กับความน่าเชื่อถือของ Resume : ดาบสองคมของเทคโนโลยี
แต่สิ่งที่น่ากังวลก็คือรายงานล่าสุดชี้ว่า การ “แต่ง” หรือ “บิดเบือน” ข้อมูลใน Resume กำลังแพร่หลาย โดยเฉพาะในกลุ่มแรงงานรุ่นใหม่ แพลตฟอร์ม Career.io ระบุว่า จากการสำรวจพนักงาน 1,000 คน พบว่า 47% ของผู้สมัครงาน Gen Z เคยโกหกในใบสมัครงาน ขณะที่กลุ่ม Baby Boomer มีไม่ถึง 10% ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากบริษัทเริ่มนำ AI มาใช้ในการคัดกรองโปรไฟล์ผู้สมัครคล้ายกับสิ่งที่ OpenAI กำลังผลักดัน
เมื่อมีเหตุการณ์แบบนี้แล้วเราจะมั่นใจได้อย่างไรว่า AI ในแพลตฟอร์มหางานจะเลือกคนที่มีคุณสมบัติที่ทำได้ตามที่ใส่มาใน Resume จริง ๆ เพราะการเลือกจ้างที่คัดจาก AI ทำให้เราไม่รู้เลยว่าการบิดเบือน Resume จะมากขึ้นแค่ไหน อาจจะไม่ใช่แค่ 57% แต่อาจจะ 80-90% ก็เป็นได้

คำถามคือ เมื่อ AI ทำหน้าที่คัดกรองจากข้อมูลที่อาจถูก “แต่ง” ขึ้นมา แล้วเราจะมั่นใจได้อย่างไรว่า AI จะเลือกคนที่มีคุณสมบัติตามความเป็นจริง ? การพึ่งพา AI อย่างเดียวในการคัดกรองอาจทำให้บริษัทได้คนที่ไม่ตรงปกและต้องเสียเวลาตรวจสอบซ้ำอีกครั้ง ซึ่งกลายเป็นภาระที่ต้องแบกรับในภายหลัง รวมไปถึงผู้สมัครที่แต่งเติมข้อมูลเช่นกัน เมื่อคุณทำงานตามที่คุณกล่าวมาไม่ได้คุณจะอยู่ในสายงานนั้นได้นานสักเท่าไหร่ ?
แพลตฟอร์มของ OpenAI หรือของ LinkedIn ที่กำลังเร่งพัฒนานี้ อาจจะดีกับทางบริษัทเป็น ไม่ว่าจะเป็นความสะดวกในการคัดคน หรือการที่ไม่ต้องมานั่งเสียเวลาคัดผู้สมัคร แต่ก็เหมือนดาบสองคมเช่นกัน เพราะ AI อาจจะคัดคนที่แต่งเติม Resume และบริษัทคงจะต้องเสียเวลาเอามาก ๆ ถ้าต้องมาทำงานซ้ำซ้อนกับ AI หรือแม้กระทั่งฝ่ายผู้สมัครเอง ถ้าไม่ถูกเลือกจะเป็นอย่างไร
ในอนาคตอันใกล้ ตลาดแรงงานอาจต้องเผชิญกับคำถามที่ใหญ่กว่านั้น คือแพลตฟอร์มหางาน AI จะเปลี่ยนรูปแบบการจ้างงานไปในทิศทางใด และจะสร้างความเหลื่อมล้ำให้กับผู้หางานหรือไม่ ? ต้องติดตามกันต่อไปครับ