สร้างเสียงฮือฮา ! หลังรัฐบาลเวียดนามเปิดเผยตัวเลข GDP ไตรมาส 3 โตแบบก้าวกระโดด อีกทั้งมูลค่าการค้า 9 เดือนแรกของปีนี้พุ่งสูง เกินดุล 16.8 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ ตอกย้ำการเติบโตของเศรษฐกิจภายในประเทศที่พุ่งไม่หยุดฉุดไม่อยู่

ทั้งสื่อไทยสื่อนอกต่างรายงานตรงกันว่า ประเทศที่มีเศรษฐกิจดีที่สุดในช่วงนี้ต้องยกให้กับเวียดนามทั้งด้านการนำเข้า-ส่งออก การท่องเที่ยว ต่างสะท้อนออกมาเป็นตัวเลข GDP มวลรวมว่าประเทศเวียดนามอยู่ในจุดที่เรียกว่ายักษ์ใหญ่ด้านเศรษฐกิจของอาเซียนในเวลานี้ 


Photo by Toàn Văn (pexels)

เมื่อวันที่ 5 ตุลาคม 2025 ที่ผ่านมา รัฐบาลเวียดนามได้เปิดเผยตัวเลขเศรษฐกิจไตรมาส 3 โต 8.22% โดยตัวเลขนี้เกิดขึ้นท่ามกลางอุปสรรคทางเศรษฐกิจ แม้มีมรสุมลูกใหญ่ อย่างภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ จากนโยบายของภาษีทรัมป์ ซึ่งกระทบโดยตรง เนื่องจากสหรัฐฯ เป็นตลาดส่งออกที่สำคัญมากของเวียดนาม และภาษีที่เวียดนามโดนเรียกเก็บสูงถึง 20% ถือว่าตัวเลขนี้สูงและเสียหายมาก

นอกจากนี้ยังรวมไปถึงปัญหาความเสียหายจากพายุใต้ฝุ่นบัวลอย ซึ่งได้รับการประเมินความเสียหายสูงถึง 625.5 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (ประมาณ 2 หมื่นล้านบาท) นี่เป็นความมูลค่าความเสียหายจากพายุเพียงลูกเดียวเท่านั้น แต่แท้จริงแล้วในปีนี้ เวียดนามเผชิญกับพายุใหญ่อีกกว่า 8 ลูก ซึ่งหากจะประเมินความเสียหายทั้งหมดอาจจะสูงกว่าที่หลายคนคาดไว้

สำนักงานสถิติแห่งชาติของเวียดนาม รายงานเมื่อวันที่ 6 ตุลาคม 2025 ระบุว่า มูลค่าการค้าทั้งหมดใน 9 เดือนแรกของปีพุ่งสูงถึง 680.6 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ (ประมาณ 22.3 ล้านล้านบาท) เพิ่มขึ้น 17.3% เมื่อเทียบกับปีก่อน (2024) จากการนำเข้าและส่งออกเป็นส่วนสำคัญ โดยการส่งออกเพิ่มขึ้น 16% เป็น 348.7 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ (ประมาณ 11.4 ล้านล้านบาท) โดยสินค้าส่งออก มีสินค้า 7 กลุ่มที่มีมูลค่าเกิน 10 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ (ประมาณ 3 แสนล้านบาท) ส่วนสินค้าแปรรูปและสินค้าอุตสาหกรรมคิดเป็น 85.2% ของรายได้การส่งออกทั้งหมด สินค้าส่งออกสำคัญได้แก่ โทรศัพท์มือถือ คอมพิวเตอร์ สิ่งทอ และรองเท้า


Photo by Tom D’Arby (pexels) 

ซึ่งสหรัฐอเมริกายังคงเป็นตลาดส่งออกที่ใหญ่ที่สุดของเวียดนาม มีตัวเลข 112.8 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ (ประมาณ 3.6 ล้านล้านบาท) ตามมาด้วยจีน สหภาพยุโรป อาเซียน และญี่ปุ่น

สำหรับการนำเข้าเพิ่มขึ้น 18.8% เป็น 332 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ (ประมาณ 10 ล้านล้านบาท) โดยสินค้าเพื่อการผลิตคิดเป็น 89% ของการนำเข้าทั้งหมด ซึ่งสะท้อนถึงความต้องการวัตถุดิบและเครื่องจักรที่เพิ่มขึ้น จีนเป็นผู้นำเข้าสินค้าไปจากเวียดนามรายใหญ่ที่สุด ตามมาด้วยเกาหลีใต้ อาเซียน ญี่ปุ่น และสหรัฐอเมริกา

แม้การนำเข้าจะโตเร็วกว่าการส่งออก แต่เวียดนามยังคงเกินดุลการค้าอยู่ที่ 16.8 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ ในช่วง 9 เดือนที่ผ่านมา ซึ่งการที่เวียดนามยังคงเกินดุลการค้าแสดงให้เห็นว่าเศรษฐกิจของเวียดนามแข็งแกร่งในแง่การค้าระหว่างประเทศ โดยสามารถทำเงินจากการขายสินค้าไปต่างประเทศได้มากกว่าที่ต้องจ่ายเพื่อซื้อสินค้าจากต่างประเทศเข้ามา

แม้ว่ากระทรวงอุตสาหกรรมและการค้าเตือนว่าการขึ้นภาษีสินค้าไม้ของเวียดนามโดยสหรัฐฯ และการระงับการนำเข้าข้าวในบางตลาดอาจส่งผลกระทบต่อการเติบโตของการส่งออกได้


Photo by Hiển Hồ (pexels)

ทั้งนี้รัฐบาลเวียดนามตั้งเป้าหมายการเติบโตของ GDP ทั้งปีไว้ที่ 8.3% – 8.5% ซึ่งสูงกว่าการเติบโตของปีที่แล้วที่ร้อยละ 7.09% และสูงกว่าการคาดการณ์ของธนาคารโลก (World Bank) ที่คาดว่าจะอยู่ที่ 6.6% และกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) คาดว่าจะอยู่ที่ 6.5% สะท้อนความไม่แน่นอนในอนาคต เนื่องจากมองถึงปัจจัยของจากผลกระทบของภาษีทรัมป์ ซึ่งทำให้เศรษฐกิจมีการชะลอตัวลง และปัจจัยทางภัยพิบัติทางธรรมชาติ ซึ่งอาจจะไม่ถึงตามที่เวียดนามได้ประเมินไว้

อย่างไรก็ตาม การเติบโตของเศรษฐกิจเวียดนามในครั้งนี้สร้างแรงกระเพื่อมครั้งยิ่งใหญ่ให้กับประเทศไทย โดยนายอนุทิน ชาญวีรกุล นายกรัฐมนตรีของไทยได้แสดงถึงวิสัยทัศน์ด้านเศรษฐกิจ หลังมีการประกาศตัวเลขทางเศรษฐกิจ GDP ของไทยรวมทั้งประเทศเพื่อนบ้าน โดยตั้งเป้าให้คำมั่นกับประชาชนนำประเทศไทยเป็นที่ 1 ของภูมิภาค พร้อมยอมรับว่าการตามหลังเวียดนามถือเป็นฝันร้าย