หลายคนคงเห็นกระแสจักรวาลของ Tron: Ares กันมาแล้ว บอกเลยว่ารอบนี้อาจจะทำให้ทุกคนตราตรึงกว่าที่เคย เพราะเป็นการคัมแบ็กหลักจากหายไปนานกว่า 15 ปี นับจาก Tron: Legacy 

พล็อตเรื่องของซีรีส์นี้ค่อนข้างน่าสนใจ เพราะบอกเล่าเกี่ยวกับการที่ “มนุษย์สามารถหลุดเข้าไปในโลกดิจิทัล แล้วสามารถกลับออกมาได้” ในขณะเดียวกัน “AI ก็สามารถทำได้เหมือนกัน AI สามารถหลุดจากโลกดิจิทัล มาสู่โลกแห่งความเป็นจริงได้” ซึ่งคล้ายกับเทรนด์ของเทคโนโลยีที่โลกเราทุกวันนี้กำลังพัฒนาอยู่ 

บทความนี้ BT beartai จะพาไปวิเคราะห์ถึงความเป็นไปได้ของเทคโนโลยีและสิ่งต่าง ๆ ที่อยู่ในภาพยนตร์ Tron เพื่อตอบคำถามว่าจินตนาการบนจอภาพยนตร์ สามารถเกิดขึ้นในโลกที่เราอยู่ได้มากน้อยแค่ไหน ?

หมายเหตุ : บทความนี้ “ไม่มีการเปิดเผยเนื้อหาสำคัญ” ของภาพยนตร์ Tron: Ares ข้อมูลทั้งหมดในบทความมาจาก “วิดีโอโปรโมตภาพยนตร์ (Trailer)” เท่านั้น

เมื่อ AI มี “ร่างกาย” เป็นของตัวเอง

ในคลิปตัวอย่างเราจะเห็นว่าตัวละคร แอรีส (Ares) ที่เป็น AI สามารถมีตัวตนที่จับต้องได้ในโลกจริง หลายคนอาจคิดว่ามันเป็นไปไม่ได้หรอก แต่ในความเป็นจริงแล้วเทคโนโลยีนี้กำลังเกิดขึ้นจริง แม้จะยังไม่สมบูรณ์เท่าในภาพยนตร์ แต่ก็มีแววที่จะเป็นแบบนั้นได้ ยกตัวอย่างเทคโนโลยี หุ่นยนต์ฮิวแมนนอยด์ (Humanoid Robotics) ที่มีความก้าวหน้าอย่างมาก

ตัวอย่างที่ชัดเจนคือ Atlas ของ Boston Dynamics ที่เคลื่อนไหวค่อนข้างที่จะคล่องแคล่ว ส่วน Tesla Optimus เองก็สามารถทำงานบางอย่างที่คล้าย ๆ คนอย่างการตักป็อปคอร์นได้ นอกจากนี้ยังมี Unitree ที่พัฒนาหุ่นยนต์ขนาดเล็กซึ่งสามารถเลียนแบบศิลปะการต่อสู้ของมนุษย์ได้ 

แม้หุ่นยนต์ฮิวแมนนอยด์จะ “เลียนแบบ” ท่าทางได้ดีแค่ไหน ทั้งการวิ่ง การเดิน การกระโดด แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังคงเป็น “ท่าทางพื้นฐาน” เท่านั้น ยังไม่สามารถ “พลิกแพลง ประยุกต์ หรือสร้างท่าทางใหม่ ๆ” ได้เหมือนคน

เอาจริง ๆ ก็ยังถือว่าห่างไกลจากการเคลื่อนไหวของแอรีสในภาพยนตร์อยู่มาก คาดว่าถ้าจะทำให้เหมือนกับในหนังที่เคลื่อนไหวได้แบบเป็นธรรมชาติมาก ๆ อาจต้องใช้เวลาในการพัฒนาอีกหลายสิบปี 

The Digital Singularity จุดที่ AI ก้าวข้ามมนุษย์

ในโลกของ Tron ตัวละครหลัก แอรีส ที่เป็น AI มีเจตจำนงอิสระ ตัดสินใจทำสิ่งต่าง ๆ ได้ด้วยตัวเอง นอกเหนือจากโคดที่ถูกสร้างขึ้น กลับกันในโลกที่เราอยู่เรื่องนี้ยังเป็นเพียงแค่ “แนวคิดเชิงทฤษฎี” และเป็นหัวข้อถกเถียงที่สำคัญในแวดวงวิทยาศาสตร์และปรัชญาว่า “AI จะมีจิตสำนึก มีความนึกคิดเป็นของตัวเอง และทำในสิ่งที่เราไม่ได้สั่งได้หรือไม่”  

แม้ปัจจุบัน AI จะยังไม่มีความสามารถแบบในภาพยนตร์ แต่ก็มีแนวโน้มที่จะเป็นไปได้ เพราะปัจจุบัน AI เก่งพอที่จะเดาความต้องการของเราได้ในไม่กี่ประโยค ยกตัวอย่าง Agentic AI หรือ AI Agent ที่เราบอกความต้องการไป มันก็จะไปหาสิ่งที่ดีที่สุดมาเสนอให้กับเรา 

และเป้าหมายส่วนใหญ่ที่นักพัฒนา AI มุ่งไปคือการสร้าง Artificial General Intelligence (AGI) ซึ่งเป็น AI ที่มีความสามารถในการคิดวิเคราะห์และเรียนรู้ได้ทัดเทียมหรือเหนือกว่ามนุษย์ ซึ่งยังพอมีโอกาสที่จะเป็นไปได้ เพราะงานวิจัยจาก DeepMind ของ Google ได้โชว์ว่า AI มีความสามารถสร้างสรรค์กลยุทธ์ใหม่ ๆ ที่มนุษย์ไม่เคยคิดค้นได้มาก่อน นอกจากนี้ Large Language Models (LLMs) รุ่นใหม่ ๆ ยังเริ่มแสดง “คุณสมบัติอุบัติใหม่” (Emergent Abilities) ซึ่งเป็นความสามารถในการทำงานที่ซับซ้อนโดยไม่เคยถูกฝึกฝนมาโดยตรง

แต่ถึงอย่างนั้นถ้าจะเอาความสามารถระดับแอรีส ก็ต้องบอกว่ายังห่างไกลอยู่มาก เพราะปัจจุบัน AI ส่วนใหญ่ที่เราใช้งานกันจะเป็นแบบ “Narrow AI” ที่เก่งเฉพาะด้าน จากโมเดลที่ถูกพัฒนามา แล้วจะทำงานก็ต่อเมื่อเราสั่งเท่านั้น เช่น AI ที่ใช้แปลภาษาก็จะแปลภาษาได้อย่างเดียว จะให้ไปแต่งเพลงหรือวิเคราะห์หุ้นไม่ได้ เพราะไม่ได้รับการเทรนมา และไม่ได้มีความเข้าใจในบริบทกว้าง ๆ หรือมีความรู้สึกนึกคิดเหมือนคน

Apple Siri

ยกตัวอย่างให้เห็นภาพง่ายขึ้นคือ ผู้ช่วยในมือถือ เช่น Siri, Google Assistant เก่งเรื่องการตอบคำถามตามคำสั่งเสียง แต่ถ้าเราสั่งให้สร้างภาพออกมาก็จะทำไม่ได้ หรือระบบแนะนำสินค้า/หนัง Netflix, Shopee เก่งเรืองการวิเคราะห์พฤติกรรมของเราเพื่อแนะนำสิ่งที่น่าจะชอบ แต่ถ้าให้ไปแต่งเพลงเหมือนคนก็ทำไม่ได้ 

แม้เรายังไม่ถึงจุดที่ AI จะก้าวข้ามมนุษย์ แต่ความก้าวหน้าของ AI ที่เป็นไปในรูปแบบทวีคูณ (Exponential) ทำให้หลายฝ่ายเชื่อว่าสิ่งนี้อาจเกิดขึ้นได้จริงในอนาคต รวมถึงมีความกังวลว่าบางที AI อาจก้าวข้ามมนุษย์และกลายมาเป็นภัยได้

Augmented Reality Worldview มุมมองโลกผ่าน AR

ในโลกภาพยนตร์ตัวละครแอรีส สามารถมองเห็นโลกแห่งความจริงได้ แต่จะมีข้อมูลดิจิทัลซ้อนทับอยู่ คำถามคือโลกความเป็นจริงที่เราอาศัยอยู่ มีเทคโนโลยีนี้แล้วหรือยัง ?

คำตอบคือ “มีแล้ว” ถ้ายังจำกันได้เมื่อหลายปีก่อนมีกระแสเกี่ยวกับเทคโนโลยี AR หรือ Augmented Reality บูมขึ้นมา หลายคนมองว่านี่จะกลายเป็นเทรนด์ใหม่ที่ผู้คนทั่วไปจะเอามาใช้ในชีวิตประจำวัน มันจะกลายเป็นเทคโนโลยีที่เปลี่ยนโลกไปได้ตลอดกาล 

Apple Vision Pro

แต่วันเวลาผ่านไปดูเหมือนว่าจะไม่เป็นอย่างนั้นเทคโนโลยี AR ไม่ค่อยได้รับความนิยมสักเท่าไร ยกตัวอย่าง Apple Vision Pro และ Microsoft HoloLens ที่สามารถแสดงข้อมูลดิจิทัลทับซ้อนบนโลกจริง ๆ ได้ ด้วยเทคโนโลยีที่เรียกว่า Simultaneous Localization and Mapping (SLAM) ที่ช่วยให้อุปกรณ์สามารถเข้าใจตำแหน่งของตนเองและโครงสร้างของสิ่งแวดล้อมรอบตัวได้แบบเรียลไทม์ 

ถ้าถามว่าเทียบเท่ากับเทคโนโลยีในภาพยนตร์หรือยัง ก็ต้องบอกว่า “ทำได้แล้ว” แต่อาจจะยังไม่เทียบเท่า

Digital Consciousness หรือจิตสำนึกดิจิทัล

ในภาพยนตร์ Tron ทุกภาคเราจะเห็นว่าตัวละครที่เป็น AI ทุกตัวจะ “มีความรู้สึกนึกคิดและมีชีวิต” สามารถบอกสิ่งที่ต้องการ และสามารถตายได้ กลับกันในปัจจุบัน AI ของโลกที่เราอยู่เป็นแบบนั้นหรือยัง ?​

คำตอบคือ “ยังห่างไกล” เพราะ AI ในโลกของเรา ไม่ว่าจะเป็น ตอบคำถาม, สร้างภาพ หรือวิเคราะห์ข้อมูล “ยังไม่มีความรู้สึกนึกคิดเหมือนในหนัง” สังเกตได้จากคำตอบที่ได้จาก AI จะ “ไร้ความรู้สึก” แม้จะใช้คำศัพท์และรูปประโยคที่เหมือนกับคนคุยกัน แต่จริง ๆ แล้ว AI ไม่ได้เข้าใจอะไรเลย ไม่เข้าใจบริบทด้วยซ้ำไป มันแค่เลือกคำที่คิดว่า “น่าจะดีที่สุด”​ ออกมาตอบเท่านั้นเอง 

แม้เราจะสามารถสร้าง AI ที่ “เลียนแบบ” อารมณ์และความรู้สึกได้สมจริง แต่ยังไม่มีหลักฐานหรืองานวิจัยใดที่ยืนยันว่าเราสามารถสร้าง “จิตสำนึก” ที่แท้จริงขึ้นมาได้ เทคโนโลยีนี้ยังคงอยู่ในขอบเขตของทฤษฎีและปรัชญาเป็นหลัก

Tron: Ares ไม่ได้เป็นเพียงภาพยนตร์ไซไฟที่ให้ความบันเทิง แต่ยังเป็นเหมือนภาพสะท้อนของอนาคตที่เทคโนโลยีกำลังพาเราไปถึง แม้ “จิตสำนึกดิจิทัล” จะยังคงเป็นเรื่องไกลตัว แต่เทคโนโลยีอย่าง “ร่างกายของ AI” และ “มุมมองโลกผ่าน AR” นั้นใกล้ความเป็นจริงเข้ามาทุกขณะ การมาของหนังไซไฟหลาย ๆ เรื่องไม่จำเป็นต้องแค่เรื่องนี้อาจเป็นสัญญาณเตือนให้เราต้องเริ่มขบคิดอย่างจริงจังว่า เราพร้อมสำหรับโลกที่มนุษย์และ AI ต้องอยู่ร่วมกันแล้วหรือยัง ?