#เทศกาลเจนนี่ ไม่เกินจริง นาทีนี้ถ้าใครไม่รู้ข่าวอาจจะกำลังตกขบวน เพราะเจนนี่ได้ฉีกทุกกฎของการไลฟ์สดเป็นที่เรียบร้อย เป็นการไลฟ์ขายของผ่านแพลตฟอร์ม TikTok ซึ่งยอดขายล่าสุดใน 1 ไลฟ์มูลค่ากว่า 121 ล้านบาท วันนี้ BT beartai จะมาเปิดเรตค่าตัวของเจนนี่ และตอบคำถามแก่ผู้ที่อยากจ้าง ต้องใช้งบเท่าไหร่ รวมไปถึงเงื่อนไขของ TikTok Shop
จ้าง “เจนนี่ ได้หมดถ้าสดชื่น” ไลฟ์สด ต้องใช้งบเท่าไหร่ ?
จากข้อมูลล่าสุดพบว่า อัตราค่าจ้างของเจนนี่ในการไลฟ์สดมีความยืดหยุ่นสูง โดยมีหลากหลายเรตเพื่อตอบสนองความต้องการของแบรนด์ต่าง ๆ ดังนี้

อัตราค่าจ้างโดยประมาณของ “เจนนี่ ได้หมดถ้าสดชื่น”
ดีลเร่งด่วน : เริ่มต้นที่ประมาณ 50,000 บาท ดีลนี้จะเน้นการสร้างการมีส่วนร่วม (Engagement) และความสนุกสนานเป็นหลัก โดยอาจไม่สามารถกำหนดวันและเวลาไลฟ์ที่แน่นอนได้ และมีเงื่อนไขเช่น หากขายสินค้าได้ครบ 1,000 ชิ้น จะเปลี่ยนไปโปรโมตสินค้าตัวอื่นทันที
แพ็กเกจแบบกำหนดรายละเอียด : สำหรับแบรนด์ที่ต้องการวางแผนงาน กำหนดเวลา และรายละเอียดที่ชัดเจน จะมีค่าใช้จ่ายสูงขึ้นอยู่ในช่วง 150,000 – 300,000 บาท ซึ่งต้องติดต่อพูดคุยรายละเอียดกับผู้จัดการโดยตรง
คิดตามจำนวนออร์เดอร์ : อีกหนึ่งรูปแบบที่ได้รับความนิยมคือ คิดค่าใช้จ่ายตามยอดคำสั่งซื้อ เช่น 50,000 บาทต่อ 1,000 ออร์เดอร์ หากขายได้เกินเป้าและต้องการขายต่อ จะมีการคิดค่าใช้จ่ายเพิ่มในอัตราเดียวกันไปเรื่อย ๆ ซึ่งเรตนี้ก็เคยสร้างรายได้ให้เจนนี่หลายล้านบาทจากแบรนด์ดังมาแล้ว
GMV โดยตรงคืออะไร ?
เชื่อว่าหลายคนอาจจะสงสัยว่า หน้าจอที่เจนนี่มักถ่ายมาลงในโซเชียลคืออะไร พร้อมกับตัวเลขถึงร้อยกว่าล้าน
หน้าจอนี้มีชื่อว่า หน้าจอสรุปผลลัพธ์ (Dashboard) ของการไลฟ์สดขายสินค้า ซึ่งเป็นหน้าจอที่แสดงข้อมูลประสิทธิภาพของการไลฟ์สดของแอปฯ TikTok Shop ครับ เราจะไล่กันไปทีขั้น
- ตัวเลขใหญ่สุด คือ GMV (Gross Merchandise Value) โดยตรง หมายถึง ยอดขายรวมทั้งหมด (เป็นเงินบาท) ที่เกิดขึ้นโดยตรงจากการไลฟ์สดครั้งนั้น ๆ นี่คือยอดเงินที่ลูกค้าชำระค่าสินค้าเข้ามาก่อนหักค่าใช้จ่ายใด ๆ ทั้งสิ้น
- สินค้าที่ขายได้ คือจำนวนชิ้นของสินค้าทั้งหมดที่ขายไปได้ในระหว่างการไลฟ์
- ผู้ชมก็คือจำนวนผู้ชมทั้งหมดที่เข้ามาดูไลฟ์
- GMV/ชั่วโมง ก็คือยอดขายรวมเฉลี่ยต่อชั่วโมง เพื่อวัดประสิทธิภาพในการสร้างยอดขายในแต่ละชั่วโมงของไลฟ์
- การแสดงผล/ชั่วโมง คือจำนวนครั้งที่ไลฟ์แสดงผลบนหน้าจอของผู้ใช้งานโดยเฉลี่ยใน 1 ชั่วโมง

จากรูปของเจนนี่ ทำยอดขายรวม (GMV) ไปได้ 121,872,055 บาท จากการขายสินค้า 380,650 ชิ้น และมีผู้ชม 4.49 ล้านคน ส่วนด้านล่างทำยอดขายรวม (GMV) ไปได้ 21,725,621 บาท จากการขายสินค้า 67,280 ชิ้น และมีผู้ชม 2.62 ล้านคน เป็นต้นครับ
ยอดนี้เป็นของ “เจ้าของแอ็กเคานต์” หรือ “ของแบรนด์” ?
และสิ่งที่ทุกคนน่าจะสงสัยไม่แพ้กัน คือยอดที่เจนนี่นำมาโชว์คือยอดของ “เจ้าของแอ็กเคานต์” หรือ “ของแบรนด์” ? ตัวเลข GMV ที่แสดงคือ “ยอดขายรวมของแบรนด์” ที่ทำได้ผ่านการไลฟ์สดของ “เจ้าของแอ็กเคานต์”
ยกตัวอย่างเช่น ตัวเลข 121 ล้านบาท และ 21 ล้านบาท คือยอดขายรวมของสินค้าที่เจ้าของแบรนด์เป็นเจ้าของ ซึ่งเป็นรายรับเบื้องต้นของแบรนด์นั้น ๆ
และตัวเลขเหล่านี้แสดงผลในแอ็กเคานต์ของครีเอเตอร์หรือผู้ไลฟ์ หน้าจอ Dashboard นี้ เป็นหนึ่งเครื่องมือที่แพลตฟอร์ม TikTok มีให้สำหรับเจ้าของแอ็กเคานต์ (ผู้ไลฟ์/ครีเอเตอร์/อินฟลูเอนเซอร์) เพื่อใช้ดูประสิทธิภาพของตัวเองว่าสามารถสร้างยอดขายให้กับแบรนด์ได้เท่าไหร่
ซึ่งอาจจะทำให้คนเข้าใจผิดกันได้ สิ่งสำคัญเลยคือ ยอดขายรวม (GMV) นี้ ไม่ใช่รายได้สุทธิที่เจ้าของแอ็กเคานต์จะได้รับ รายได้ที่เจ้าของแอ็กเคานต์จะได้รับมาจากข้อตกลงที่ทำไว้กับแบรนด์ ซึ่งอาจจะเป็นค่าจ้างแบบเหมาจ่าย หรือค่าคอมมิสชันที่คิดเป็นเปอร์เซ็นต์จากยอดขายรวมนี้อีกทีหนึ่ง

ผู้จ้างต้องรับผิดชอบค่าใช้จ่ายอะไรบ้าง ?
ซึ่งนอกเหนือจากค่าจ้างโดยตรงที่ต้องจ่ายให้กับเจนนี่แล้ว ผู้จ้าง (เจ้าของแบรนด์) ยังมีหน้าที่รับผิดชอบค่าใช้จ่ายและดำเนินการในส่วนอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการขายบน TikTok Shop ดังนี้
ค่าธรรมเนียม TikTok Shop
- ค่าคอมมิสชัน (Commission Fee) : TikTok Shop จะเรียกเก็บค่าคอมมิสชันจากผู้ขาย โดยคำนวณจากราคาสินค้าหักลบด้วยส่วนลดจากผู้ขาย (ถ้ามี)
- ค่าธรรมเนียมคำสั่งซื้อ (Transaction Fee) : คิดเป็นอัตราร้อยละ 3.21 (รวมภาษีมูลค่าเพิ่มแล้ว) ของยอดรวมที่ลูกค้าชำระ (รวมค่าจัดส่ง)
- ค่าจัดส่ง (Shipping Fee) : ผู้ขายเป็นผู้รับผิดชอบค่าใช้จ่ายในการจัดส่งสินค้าให้กับลูกค้า
- ค่านายหน้า (Affiliate Commission) : หากมีการใช้ระบบตัวแทนหรือนายหน้าเพื่อช่วยโปรโมต ผู้ขายจะต้องจ่ายค่าคอมมิสชันเพิ่มเติมในส่วนนี้
ค่าจ้างที่จ่ายให้เจนนี่ ไม่น่าจะรวม (หรืออาจจะขึ้นอยู่กับแต่ละดีล) ค่าธรรมเนียมต่าง ๆ ของ TikTok Shop โดยปกติแล้วเจ้าของแบรนด์จะเป็นผู้รับผิดชอบค่าใช้จ่ายเหล่านี้ทั้งหมด

การยื่นภาษี
- ภาษีเงินได้ : รายได้จากการขายสินค้าออนไลน์ถือเป็นเงินได้พึงประเมินที่ต้องนำไปคำนวณเพื่อเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาหรือนิติบุคคลตามรูปแบบการจดทะเบียนของธุรกิจ
- ภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) : หากผู้ขายมีรายได้จากการขายสินค้าเกิน 1.8 ล้านบาท/ปี มีหน้าที่ต้องจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม และนำส่งภาษีมูลค่าเพิ่ม 7% ให้กับกรมสรรพากร
ถ้าผู้ซื้อยกเลิกออร์เดอร์จะมีผลเสียกับใคร ?
บนแพลตฟอร์ม TikTok Shop มีนโยบายการยกเลิกคำสั่งซื้อที่ชัดเจน ทั้งจากฝั่งผู้ซื้อและผู้ขาย ซึ่งเป็นสิ่งที่ผู้จ้างต้องคำนึงถึงและต้องเตรียมรับมือ
กรณีผู้ซื้อยกเลิก
- โดยทั่วไปผู้ซื้อสามารถยกเลิกคำสั่งซื้อได้ภายใน 1 ชั่วโมงหลังจากสั่งซื้อ
- หากเกิน 1 ชั่วโมงไปแล้ว การยกเลิกจะต้องได้รับการอนุมัติจากผู้ขาย
- หากผู้ขายยังไม่ดำเนินการจัดส่งสินค้าภายในเวลาที่กำหนด ผู้ซื้อสามารถยกเลิกออร์เดอร์ได้
กรณีผู้ขายยกเลิก
- ผู้ขายสามารถยกเลิกออร์เดอร์ได้ตราบใดที่สินค้ายังไม่เข้าสู่สถานะ “จัดส่งแล้ว” อย่างไรก็ตาม การยกเลิกโดยผู้ขายอาจส่งผลต่อคะแนนความน่าเชื่อถือของร้านค้าได้
และแน่นอนว่าในการไลฟ์สดที่มียอดสั่งซื้อเข้ามาเป็นจำนวนมาก อาจเกิดปัญหาในกรณที่ลูกค้าเปลี่ยนใจ หรือยกเลิกออร์เดอร์ในภายหลังเมื่อพบโปรโมชันที่ดีกว่าหรือเหตุผลอื่น ๆ ก็เป็นอีกความเสี่ยงที่ผู้ขายต้องบริหารจัดการสต๊อกสินค้าและต้องสื่อสารกับลูกค้าให้ดี
สิ่งที่ผู้จ้างต้องเตรียมก่อนการไลฟ์สด
เพื่อให้การไลฟ์สดเกิดประสิทธิภาพสูงสุดและคุ้มค่ากับการลงทุน ผู้จ้างควรเตรียมความพร้อมในด้านต่าง ๆ ดังนี้

- สินค้าและสต๊อก : เตรียมสต๊อกสินค้าให้เพียงพอกับความต้องการที่อาจพุ่งสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว
- ข้อมูลสินค้า : เตรียมรายละเอียด จุดเด่น และโปรโมชันของสินค้าให้พร้อม เพื่อให้เจนนี่สามารถนำเสนอได้อย่างน่าสนใจและถูกต้อง
- ทีมงานและแอดมิน : ควรมีทีมงานคอยดูแลระบบหลังบ้าน ตอบคำถามลูกค้า และจัดการออร์เดอร์ได้อย่างรวดเร็ว
- อุปกรณ์ไลฟ์สด : แม้ว่าการไลฟ์จะมาจากฝั่งของเจนนี่ แต่การมีอุปกรณ์พื้นฐาน เช่น โทรศัพท์หรือคอมพิวเตอร์สำหรับมอนิเตอร์ไลฟ์และตรวจสอบข้อมูลก็เป็นสิ่งจำเป็น

การจ้าง “เจนนี่ ได้หมดถ้าสดชื่น” มาไลฟ์สดนั้นเป็นการลงทุนที่สูง และอาจมีโอกาสสร้างยอดขายและสร้างการรับรู้ของแบรนด์ได้อย่างมหาศาลจริง แต่ก็ใช่ว่าจ้างแล้วยอดขายจะดีเสมอไป สินค้าของแต่ละแบรนด์เองก็ต้องมีมูลค่ามากพอ และมีการทำการตลาดสร้างการรับรู้มาประมาณหนึ่งแล้ว ถึงจะช่วยให้ยอดขายนั้นไปถึงเป้าที่ตั้งไว้ได้
เพราะถ้าสินค้าไม่ดี ต่อให้ขายได้เพราะคนไลฟ์ ผู้จ้างก็ต้องรับความเสี่ยงหลังจากนั้นอีกมากมายอยู่ดี ทางที่ดีที่สุดต้องมีการบริหารจัดการที่ดีด้วยและคำนึงถึงค่าใช้จ่ายแฝงต่าง ๆ ทั้งค่าธรรมเนียมแพลตฟอร์ม ภาระทางภาษี และการจัดการออร์เดอร์ เพื่อให้การลงทุนครั้งนี้เกิดประโยชน์สูงสุดครับ