nubia ได้เปิดตัวสมาร์ตโฟนเรือธงระดับพรีเมียมรุ่นล่าสุดของแบรนด์ นั่นคือ Z80 Ultra ซึ่งมาพร้อมชิปเซตที่ทรงพลังที่สุดของ Qualcomm, แบตเตอรี่ขนาดใหญ่, อัปเกรดกล้องหลัก และอื่น ๆ อีกมากมาย

nubia Z80 Ultra นั้น ได้รับการออกแบบให้มีตัวเครื่องที่แบนเรียบทั้งด้านหน้าและหลัง โดยมีความบาง 8.6 มม. และหนัก 227 กรัม ซึ่งมาพร้อมมาตรฐานกันน้ำและฝุ่น IP68/IP69 ช่วยป้องกันตัวเครื่องในน้ำลึก 1.5 เมตร นาน 30 นาที และน้ำแรงดันสูงที่อุณหภูมิสูงสุด 80 องศาเซลเซียส โดยมีสีตัวเครื่องให้เลือก จำนวน 4 เวอร์ชัน ได้แก่ Phantom Black, Condensed Light White, Starry Night Collector’s Edition และ Luo Tianyi Limited Edition

    ด้านหน้าตัวเครื่องมาพร้อมดีไซน์แบบเต็มจอ (Full Display) ซึ่งมีขอบจอที่บางมาก และไม่ปรากฏให้เห็นส่วนเว้าใด ๆ โดยได้รับการติดตั้งแผงหน้าจอ OLED รุ่น X10 ขนาด 6.85 นิ้ว ที่ผลิตโดย BOE (ผู้ผลิตแผงหน้าจอรายใหญ่ของประเทศจีน) ความละเอียด 1.5K

    หน้าจอดังกล่าวรองรับรีเฟรชเรต 144 Hz (แสดงการเคลื่อนไหวของภาพได้นุ่มนวลถึง 144 เฟรมต่อวินาที), อัตราตอบสนองต่อการสัมผัสหน้าจอสูงสุด 960 Hz, รองรับค่าสี 10 บิต, มาตรฐานสี DCI P3 100% ของพื้นที่หน้าจอ, ลดความสว่างอย่างรวดเร็วด้วยความถี่สูง 2,592 Hz, ความสว่างสูงสุด 2,000 Nits, ติดตั้งกล้องเซลฟี ความละเอียด 16 ล้านพิกเซล ใต้แผงหน้าจอ และเซนเซอร์สแกนลายนิ้วมือใต้แผงหน้าจอ

    nubia Z80 Ultra
    nubia Z80 Ultra เวอร์ชัน Starry Night Collector’s Edition

    ด้านการประมวลผล ได้ใช้ศักยภาพจากชิปเซตเรือธง Snapdragon 8 Elite Gen 5 ที่ผลิตด้วยเทคโนโลยี 3 นาโนเมตร และมีความเร็วสูงสุด 4.60 GHz ซึ่งได้รับการยกระดับประสิทธิภาพ, กราฟิก และการประหยัดพลังงาน ให้สูงขึ้นจาก Snapdragon 8 Elite (Gen 4) เมื่อปี 2024 อย่างชัดเจน

    ชิปเซตดังกล่าวทำงานรวมกับแรม LPDDR5X ความเร็วสูง ความจุสูงสุด 16 GB และสตอเรจ UFS 4.1 ความจุสูงสุด 1 TB บนซอฟต์แวร์ระบบปฏิบัติการ Nebula AIOS 2 ที่พัฒนาบนพื้นฐานของระบบ Android 16

    นอกจากนี้ยังได้รับการติดตั้งแบตเตอรี่ที่มีความจุสูงถึง 7,200 mAh ซึ่งรองรับการชาร์จไฟเร็ว 90 W, ชาร์จไฟไร้สาย 80 W และจ่ายพลังงานให้อุปกรณ์อื่นได้ รวมถึงรองรับการเชื่อมต่อ Wi-Fi 7, Bluetooth 5.4 และ NFC, ลำโพงคู่ และพอร์ต USB Type-C 3.2 Gen 1

    nubia Z80 Ultra นั้น เป็นเพียงรุ่นเดียวในซีรีส์นี้มาพร้อมระบบกล้องระดับไฮเอนด์ โดยได้รับการอัปเกรดกล้องหลักมาใช้เซนเซอร์ภาพ OmniVision LightMaster 990 ความละเอียด 50 ล้านพิกเซล ซึ่งมีขนาดใหญ่ขึ้นเป็น 1/1.3 นิ้ว พร้อมระบบกันภาพสั่น OIS (Optical Image Stabilization) และรูรับแสงที่กว้างถึง f/1.5

    เสริมด้วยกล้อง Ultrawide คววามละเอียด 50 ล้านพิกเซล ซึ่งใช้เซนเซอร์ขนาด 1/1.55 นิ้ว, มุมกว้าง 120 องศา และรูรับแสง f/1.8 และกล้องซูมแบบ Periscope ความละเอียด 64 ล้านพิกเซล ซึ่งใช้เซนเซอร์ขนาด 1/2 นิ้ว, ถ่ายภาพ Macro ได้ในระยะ 15 เซนติเมตร, ระบบกันภาพสั่น OIS และรูรับแสง f/2.4

    nubia Z80 Ultra

    นอกจากนี้ nubia ได้เปิดตัวอุปกรณ์เสริมการถ่ายภาพ Professional Photography Kit สำหรับ Z80 Ultra ซึ่งประกอบด้วยเคสเสริมที่ผลิตด้วยวัสดุหนังและไทเทเนียม พร้อมปุ่มควบคุมการถ่ายภาพที่ให้ความรู้สึกคล้ายกล้องจริงมาก ๆ, ขั้วต่อ T-mount สำหรับเลนส์เสริม และฟิลเตอร์อะแดปเตอร์ที่ช่วยให้ติดตั้งฟิลเตอร์กล้อง 67 มม. ได้

    nubia Z80 Ultra
    Professional Photography Kit

      nubia ได้วางจำหน่าย Z80 Ultra ที่ประเทศจีนแล้ว พร้อมราคาดังนี้

        • 12 GB + 512 GB : 4,999 หยวน หรือประมาณ 23,100 บาท
        • 16 GB + 512 GB : 5,299 หยวน หรือประมาณ 24,400 บาท
        • 16 GB + 1 TB : 5,699 หยวน หรือประมาณ 26,300 บาท
        • 16 GB + 512 GB (Starry Night Collector’s Edition) : 5,599 หยวน หรือประมาณ 25,800 บาท
        • 16 GB + 512 GB (Luo Tianyi Limited Edition) : 5,799 หยวน หรือประมาณ 26,700 บาท
        • 16 GB + 512 GB (Starry Night Collector’s Edition) : 5,999 หยวน หรือประมาณ 27,700 บาท
        nubia Z80 Ultra