ปัญหาอาชญากรรมจากการคุกคามและสะกดรอยตาม หรือที่เรียกว่า “สตอล์กเกอร์” ที่พุ่งสูงขึ้นในเกาหลีใต้ กลายเป็นวาระเร่งด่วนที่สังคมต้องรีบหาทางแก้ไข โดยเฉพาะเมื่อเราได้เห็นข่าวคดีสะเทือนขวัญอยู่บ่อยครั้ง ซึ่งจุดเริ่มต้นจากการตามตื๊อ กลับนำไปสู่ความสูญเสีย
ล่าสุดทางการเกาหลีใต้ก็ได้เร่งพัฒนาแอปพลิเคชันบนมือถือ เพื่อให้ผู้เสียหายจากการถูกคุกคามสะกดรอยตาม สามารถตรวจสอบตำแหน่งของผู้ก่อเหตุได้แบบเรียลไทม์ หากบุคคลดังกล่าวเข้ามาในระยะใกล้
ซึ่งถ้าใครตามข่าวเกาหลีใต้บ่อย ๆ จะทราบดีว่ากฎหมายเดิม ผู้เสียหายจากการถูกสะกดรอยตามจะได้รับเพียงข้อความแจ้งเตือนก็ต่อเมื่อผู้ก่อเหตุเข้ามาในระยะใกล้ แต่ระบบไม่ได้ระบุพิกัดที่ชัดเจนของผู้ก่อเหตุ นี่จึงกลายเป็นช่องโหว่ที่ทำให้ผู้เสียหายยากที่จะหลบหลีกและหาทางหนีได้
แต่ภายใต้กฎหมายฉบับแก้ไขใหม่นี้ ผู้เสียหายจะสามารถเช็กตำแหน่งของสตอล์กเกอร์ได้บนแผนที่ผ่านสมาร์ตโฟนของตัวเองทันที
ซึ่งผู้เสียหายจะสามารถหนีไปในที่ที่ปลอดภัยได้ทันท่วงที ซึ่งทางระบบจะติดตามการเคลื่อนไหวของผู้กระทำผิดผ่านอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์แบบสวมใส่ ไม่ว่าจะเป็นอดีตนักโทษในคดีรุนแรงต่าง ๆ หรือผู้ต้องสงสัยที่มีพฤติกรรมอันตราย
นอกจากนี้กระทรวงยุติธรรมยังระบุว่า กำลังดำเนินการบูรณาการระบบติดตามตัวนี้เข้ากับสายด่วนแจ้งเหตุฉุกเฉินแห่งชาติ เพื่อให้สามารถส่งเจ้าหน้าที่ตำรวจไปคุ้มครองผู้เสียหายได้ทันทีเมื่อจำเป็น โดยสื่อท้องถิ่นรายงานว่า การเชื่อมโยงระบบนี้คาดว่าจะแล้วเสร็จภายในปีหน้า
ในมุมของนักวิจารณ์ที่แสดงถึงความกังวลเกี่ยวกับอัตราการเพิ่มขึ้นของสตอล์กเกอร์ในเกาหลีใต้ โดยมองว่าเป็นปัญหาความรุนแรงต่อผู้หญิงเป็นวงกว้าง ทั้งกล้องแอบถ่ายและการเผชิญกับการคุกคามที่เป็นปฏิปักษ์ต่อแนวคิดสตรีนิยม
เมื่อปี 2021 เกาหลีใต้ได้เริ่มบังคับใช้กฎหมายต่อต้านการสตอล์ก ซึ่งมีโทษจำคุกสูงสุด 3 ปี และปรับสูงสุด 30 ล้านวอน หรือคิดเป็นเงินไทยประมาณ 653,000 บาท
ในปี 2022 ความไม่พอใจของสาธารณชนได้ปะทุขึ้นจากคดีสะเทือนขวัญที่หญิงสาวรายหนึ่งโดนอดีตเพื่อนร่วมงานชายตามสตอล์กเธอมานานหลายปี แม้ว่าเธอจะเคยแจ้งความกับตำรวจแล้ว แต่คนร้ายกลับไม่ถูกควบคุมตัวหรือถูกออกคำสั่งห้ามเข้าใกล้ เนื่องจากเจ้าหน้าที่มองว่าเป็นบุคคล ความเสี่ยงต่ำ จนนำไปสู่โศกนาฏกรรมในที่สุด
ต่อมาในปี 2023 รัฐสภาเกาหลีใต้ได้แก้ไขกฎหมายเพื่อลดข้อจำกัดในการดำเนินคดีกับสตอล์กเกอร์ได้ง่ายขึ้น
ข้อมูลจากกระทรวงยุติธรรมระบุว่า นับตั้งแต่มีการแก้ไขกฎหมาย จำนวนการแจ้งความดำเนินคดีกับสตอล์กเกอร์ได้พุ่งสูงขึ้น จาก 7,600 คดีในปี 2022 เป็นมากกว่า 13,000 คดีในปีที่ผ่านมา
การนำเทคโนโลยีเข้ามาอุดรอยรั่วทางกฎหมายครั้งนี้ ถือเป็นก้าวสำคัญที่ช่วยให้ผู้เสียหายรู้ทันและหาทางป้องกันตัวได้เร็วยิ่งขึ้น ซึ่งย่อมดีกว่าการปล่อยให้เหยื่อต้องเผชิญชะตากรรมเพียงลำพังเหมือนที่ผ่านมา