รายงานล่าสุดจาก Counterpoint Research เมื่อวันที่ 16 ธันวาคม 2025 คาดการณ์ว่า ยอดการจัดส่งสมาร์ตโฟนทั่วโลกจะลดลง 2.1% ในปี 2026 เนื่องจากต้นทุนชิ้นส่วนที่พุ่งสูงขึ้นมีแนวโน้มที่จะส่งผลกระทบต่อความต้องการ โดยผู้ผลิตรายใหญ่จากจีน เช่น HONOR, OPPO และ vivo จะได้รับผลกระทบมากที่สุดจากการประมาณการครั้งก่อน

ในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา ห่วงโซ่อุปทานอิเล็กทรอนิกส์ทั่วโลกได้รับผลกระทบจากปัญหาการขาดแคลนชิปหน่วยความจำรุ่นเก่า เนื่องจากผู้ผลิตหันมาให้ความสำคัญกับชิปหน่วยความจำระดับไฮเอนด์ที่ออกแบบมาสำหรับแอปพลิเคชัน AI

Counterpoint Research ระบุเมื่อเดือนที่แล้วว่า การที่ NVIDIA หันมาใช้ชิปหน่วยความจำแบบเดียวกับสมาร์ตโฟนในเซิร์ฟเวอร์ AI อาจทำให้ราคาหน่วยความจำสำหรับเซิร์ฟเวอร์เพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าภายในปลายปี 2026 เนื่องจากเซิร์ฟเวอร์ AI แต่ละตัวต้องการชิปหน่วยความจำมากกว่าโทรศัพท์มือถือ การเปลี่ยนแปลงนี้คาดว่าจะสร้างความต้องการชิปสูงขึ้นอย่างฉับพลัน โดยที่อุตสาหกรรมชิปยังไม่พร้อมรับมือ

“สิ่งที่เราเห็นตอนนี้คือตลาดระดับล่าง (ต่ำกว่า 200 เหรียญสหรัฐฯ) ได้รับผลกระทบอย่างรุนแรงที่สุด โดยต้นทุนการผลิต (Bill of Materials หรือ BoM) เพิ่มขึ้น 20-30% ตั้งแต่ต้นปี ส่วนตลาดระดับกลางและระดับสูงจะเพิ่มขึ้น 10-15%” ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัยของ Counterpoint Research กล่าว

เมื่อราคาต้นทุนการผลิตเพิ่มขึ้น ก็จะเกิดการส่งผ่านต้นทุน (หมายถึง ผู้ผลิตไม่สามารถแบกรับต้นทุนไว้เองได้ และทำให้ผู้บริโภคต้องจ่ายแพงขึ้นตามต้นทุนจริง) และการปรับโครงสร้างกลุ่มผลิตภัณฑ์และบริการ ทำให้สามารถคาดการณ์ได้ว่าราคาขายเฉลี่ย (Average Selling Price หรือ ASP) จะเพิ่มขึ้นในปีหน้า 6.9% ซึ่งปรับเพิ่มขึ้นจากการคาดการณ์เมื่อเดือนกันยายน 2025 3.9%

ซึ่งผู้ผลิตสมาร์ตโฟนที่มีขนาดใหญ่อย่าง Apple และ Samsung จะอยู่ในตำแหน่งที่ดีที่สุดสำหรับการรับมือกับปัญหาในอีกไม่กี่ไตรมาสข้างหน้า เนื่องจากมีผลิตภัณฑ์หลากหลาย (โดยเฉพาะในกลุ่มราคาสูง) และมีกลยุทธ์ด้านการผลิตที่มีประสิทธิภาพสูง แต่จะเป็นเรื่องยากสำหรับผู้เล่นรายอื่น ๆ ที่ไม่มีพื้นที่ในการบริหารจัดการส่วนแบ่งการตลาดเทียบกับอัตรากำไรมากนัก และเราจะได้เห็นเรื่องนี้ชัดเจนขึ้น โดยเฉพาะกับผู้ผลิตอุปกรณ์ (OEMs) จากจีนในปีหน้า

ที่ผ่านมาเราจะเห็นผู้เล่นในตลาดเหล่านี้ นำกลยุทธ์บรรเทาผลกระทบมาใช้มากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นวิธีการลดสเปกอุปกรณ์ อย่างโมดูลกล้อง, จอแสดงผล, อุปกรณ์เกี่ยวกับเสียง และหน่วยความจำ นอกจากนี้ยังมีกลยุทธ์อื่น ๆ เช่น การนำส่วนประกอบเก่ากลับมาใช้ใหม่, การผลักดันให้ผู้บริโภคไปใช้รุ่น ‘Pro’ ที่มีสเปกสูงกว่า หรือการนำดีไซน์ใหม่มาใช้เพื่อกระตุ้นการอัปเกรด เป็นต้น

อย่างไรก็ตาม ฝั่งผู้บริโภคอาจต้องจับตารอดูต่อไปว่า เมื่อความต้องการหน่วยความจำเพิ่มขึ้น จนทำให้ราคาพุ่งสูง จะส่งผลกระทบกับราคาสมาร์ตโฟนที่วางขายในตลาดมากแค่ไหน และบริษัทต่าง ๆ จะมีการปรับราคา หรือลดสเปกอุปกรณ์อย่างไร เพื่อให้บริษัทเดินหน้าไปได้ในขณะที่ต้นทุนการผลิตสูงขึ้น