จากเหตุการณ์ถนนทรุดตัวครั้งใหญ่ที่บริเวณหน้าโรงพยาบาลวชิรพยาบาล ถนนสามเสน ซึ่งพบว่าเป็นหลุมขนาดใหญ่ และอาจสร้างความกังวลใจให้กับหลายคน แต่รู้หรือไม่ว่าเหตุการณ์เช่นนี้สามารถป้องกันได้ตั้งแต่เนิ่น ๆ หากเรานำเทคโนโลยีอย่าง Ground Penetrating Radar หรือ GPR ซึ่งเป็นเรดาร์ตรวจสอบใต้ดินเข้ามาช่วยในการสำรวจและเฝ้าระวัง

GPR ช่วยได้อย่างไร ?

GPR เป็นเทคโนโลยีที่ช่วยให้เรามีแนวทางแก้ไขปัญหาแต่เนิ่น ๆ ก่อนที่จะเกิดเหตุการณ์ถนนทรุด โดยสามารถใช้ตรวจสอบและค้นหาโพรงอากาศ, โพรงใต้ดิน หรือท่อแตกรั่ว ซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญของการทรุดตัวของพื้นผิวถนนโดยหลักการทำงานของ GPR คือการสำรวจวัตถุที่อยู่ใต้ดิน โดยใช้หลักการส่งสัญญาณและตรวจจับเสียงสะท้อนที่สะท้อนกลับมา

GPR ประกอบด้วยอุปกรณ์หลัก 2 ส่วน คือ เครื่องส่งสัญญาณ (Transmitter) และ เสาอากาศรับสัญญาณ (Receiver) โดยเครื่องส่งสัญญาณจะปล่อยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าในช่วงความถี่ไมโครเวฟ (1 ถึง 1,000 เมกะเฮิรตซ์) ลงสู่พื้นดินเป็นพัลส์สั้น ๆ เมื่อคลื่นเดินทางผ่านวัสดุต่าง ๆ ในชั้นใต้ดิน จะเกิดปฏิกิริยาตามคุณสมบัติทางไฟฟ้าของวัสดุนั้น ๆ

หากคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้ากระทบกับวัตถุหรือรอยต่อของชั้นวัสดุที่มีคุณสมบัติทางไฟฟ้าแตกต่างกัน คลื่นบางส่วนจะเกิดการ สะท้อน หักเห หรือกระจาย โดยสัญญาณที่สะท้อนกลับมาจะถูกตรวจจับโดยเสาอากาศรับสัญญาณ ซึ่งจะบันทึกข้อมูลสำคัญ ได้แก่ ความเข้มของสัญญาณ (Amplitude) และเวลาที่สัญญาณใช้ในการเดินทางไปกลับ (Two-way travel time)

จากนั้น ซอฟต์แวร์ประมวลผลของ GPR จะแปลงข้อมูลเหล่านี้ให้เป็น ภาพกราฟ (Radargram) ที่แสดงถึงภาพตัดขวางของชั้นใต้ดิน ภาพนี้สามารถนำมาตีความเพื่อระบุตำแหน่ง, ความลึก, ขนาด และรูปร่างของวัตถุที่ฝังอยู่ใต้พื้นผิวได้อย่างแม่นยำ ทำให้เราสามารถจัดทำแผนที่โครงสร้างหรือสาธารณูปโภคที่อยู่ใต้ดินได้

GPR สามารถตรวจจับอะไรได้บ้าง ?

GPR สามารถตรวจจับวัตถุหลากหลายประเภทที่ฝังอยู่ใต้ดินได้ โดยเฉพาะวัตถุที่มีคุณสมบัติทางแม่เหล็กไฟฟ้าแตกต่างจากดินโดยรอบ เช่น

  • โลหะ : ท่อเหล็ก, ถังน้ำมันใต้ดิน หรือสายเคเบิล
  • อโลหะ : ท่อพลาสติก (PVC), คอนกรีต, อิฐ หรือโครงสร้างไม้
  • วัสดุธรรมชาติ : โขดหิน, โพรง หรือการเปลี่ยนแปลงของชั้นดิน

นอกจากนี้ GPR ยังถูกนำไปประยุกต์ใช้อย่างแพร่หลายในด้านธรณีวิทยาและวิศวกรรมโยธา เพื่อระบุและทำแผนที่สาธารณูปโภคใต้ดิน (เช่น ท่อส่งน้ำ, สายไฟฟ้า), การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างใต้ดิน (เช่น ชั้นหิน, รอยเลื่อน), พื้นที่ที่ถูกรบกวน (เช่น บริเวณที่มีการขุดและถมกลับ) และลักษณะทางธรณีวิทยา (เช่น ระดับน้ำใต้ดิน, ช่องว่างใต้ดิน) รวมถึงการค้นหาสิ่งก่อสร้างโบราณ และวัตถุทางประวัติศาสตร์ ในงานโบราณคดี

บทเรียนจากญี่ปุ่น : การจัดการปัญหาถนนทรุด

เมื่อพิจารณาจากกรณีศึกษาของประเทศญี่ปุ่น การจัดการปัญหาถนนทรุดตัวที่รวดเร็วไม่ได้เป็นเพียงแค่การดูแลความสะดวกสบายของประชาชนเท่านั้น แต่ยังเป็นหนึ่งในวิธีการสร้างความเชื่อมั่นในระดับนานาชาติ ที่แสดงให้เห็นว่าประเทศมีความมั่นคงและน่าเชื่อถือ

ความสามารถของญี่ปุ่นในการบูรณาการเทคโนโลยีเข้ากับการบริหารจัดการทรัพยากรบุคคลอย่างมีประสิทธิภาพ ถือเป็นกุญแจสำคัญที่ทำให้การฟื้นตัวเป็นไปอย่างรวดเร็วและเป็นระบบ สำหรับประเทศไทย การพิจารณาแนวทางและบทเรียนจากกรณีนี้จึงเป็นสิ่งสำคัญ เพื่อหาคำตอบว่าเราจะสามารถนำมาปรับใช้เพื่อพัฒนาและยกระดับการจัดการปัญหาโครงสร้างพื้นฐานของเราได้อย่างไรต่อไป