ลืมภาพจำคอนเทนต์ AI เดิม ๆ อย่างคลิป ASMR หั่นผลไม้ในจินตนาการ หรือการเอาตัวละครดังมาทำกิจกรรมแปลก ๆ ไปได้เลย เพราะตอนนี้สถานการณ์บน TikTok กำลังน่ากังวลขึ้นเมื่อเทคโนโลยี AI ถูกนำมาใช้เป็นอาวุธของมิจฉาชีพ 

ล่าสุดแบรนด์ใหญ่อย่าง Boots ถึงกับนั่งไม่ติด หลังถูกมือดีสวมรอยใช้ AI สร้างคอนเทนต์ปลอมเพื่อหลอกขายยาลดน้ำหนักผิดกฎหมาย งานนี้ไม่ใช่แค่เรื่องขำขัน แต่เป็นภัยเงียบที่กำลังคุกคามผู้บริโภค

สรุปดราม่า : เมื่อ AI สวมเสื้อกาวน์ขายยาเถื่อน

เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นเมื่อมีบัญชี TikTok ปริศนา ใช้ชื่อว่า ‘@BootsOfficial’ (ของจริงคือ @BootsUK) และใช้โลโก้ของ Boots เพื่อสร้างความน่าเชื่อถือ โดยโพสต์วิดีโอที่มีเนื้อหาดังนี้ :

ขอบคุณภาพจาก BBC News
  • สร้างภาพลวงตาด้วย AI : วิดีโอแสดงภาพบุคคลที่ดูเหมือนเภสัชกรหรือบุคลากรทางการแพทย์ กำลังยิ้มและดื่มน้ำยาสีฟ้า คลิปจะตัดภาพฉับไวไปสู่ผลลัพธ์ที่อ้างว่าน้ำหนักลดลงอย่างรวดเร็ว ซึ่งทั้งหมดเป็นภาพที่เจนขึ้น ไม่ใช่ความจริง
ขอบคุณภาพจากบัญชี TikTok BBC News
  • หลอกให้กดลิงก์ : วิดีโอเหล่านี้จะแปะลิงก์เชื่อมโยงไปยังเว็บไซต์ภายนอกเพื่อหลอกขายยาลดน้ำหนัก ซึ่งในสหราชอาณาจักร การโฆษณายาที่ต้องใช้ใบสั่งแพทย์ต่อสาธารณะถือเป็นเรื่องผิดกฎหมายและอันตรายมาก เพราะผู้ซื้อไม่มีทางรู้ส่วนผสมที่แท้จริง

ทั้งนี้ทางหน่วยงานกำกับดูแลยา (MHRA) ได้ออกมาเตือนว่า การซื้อยาเหล่านี้ผ่านช่องทางออนไลน์ที่ไม่ได้รับรองมีความเสี่ยงสูงต่อสุขภาพ เพราะไม่รู้ส่วนผสมที่แท้จริง

แซม เกรกอรี (Sam Gregory) ผู้เชี่ยวชาญด้าน AI ชี้ให้เห็นว่า ปัจจุบัน AI ทำให้การสร้างภาพลวงตาหรือ Deepfake ทำได้ง่ายมากจนน่าตกใจ และตั้งคำถามถึงความรวดเร็วของแพลตฟอร์มในการจัดการปัญหา โดยเฉพาะหากผู้ถูกแอบอ้างไม่ใช่แบรนด์ใหญ่อย่าง Boots อาจจะไม่ได้รับการแก้ไขที่รวดเร็วเท่านี้

เรื่องนี้กำลังบอกอะไรกับเรา ? 

กรณีศึกษาของ Boots สะท้อนให้เห็นว่าความน่าเชื่อถือในโลกยุค AI กำลังเข้าขั้นวิกฤต และนี่คือ 4 ประเด็นสำคัญที่เทคโนโลยีนี้กำลังเล่นกับความรู้สึกของสังคม

  1. การใช้ประโยชน์จาก Authority Bias หรือปรากฏการณ์ ‘White Coat Effect’ 

เคยได้ยินไหมว่ามนุษย์เราจะลดเกราะป้องกันทางความคิดลงเมื่อได้รับสารหรือข้อมูลจากบุคคลในเครื่องแบบแพทย์ ? เทคโนโลยี AI เข้ามาเปลี่ยนต้นทุนการหลอกลวงให้ต่ำลงจนแทบเป็นศูนย์ มิจฉาชีพไม่ต้องจ้างนักแสดงหรือคนมาทำตัวเป็นผู้เชี่ยวชาญ ก็สามารถแสดงสีหน้า และใช้คำพูด โทนเสียงที่น่าเชื่อถือได้ในไม่กี่วินาที 

  1. ภาพลวงตาของความสำเร็จ

การโฆษณายาลดน้ำหนักด้วย AI มักสร้างภาพก่อน/หลัง ที่เกินจริงและเป็นไปไม่ได้ทางชีวภาพ (ซึ่งสามารถทำได้ง่ายมากด้วยการพรอมต์) เพื่อชักจูงให้ผู้บริโภคเกิดความต้องการซื้อ นอกจากนี้การใช้ AI สร้าง ‘รีวิวทิพย์’ จากหน้าม้าที่ไม่มีตัวตนจริง ยังเป็นการทำลายระบบ Social Proof ซึ่งเป็นกลไกสำคัญในการตัดสินใจซื้อของผู้บริโภค ทำให้รีวิวสินค้าออนไลน์กลายเป็นสิ่งที่เชื่อถือไม่ได้อีกต่อไป

  1. วิกฤตศรัทธาต่อวงการแพทย์ดิจิทัล

ผลกระทบระยะยาวที่น่ากังวลที่สุด คือการสูญเสียความเชื่อมั่นกับอินฟลูฯ สายสุขภาพ หรือเหล่าแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญที่เป็นอินฟลูฯ เมื่อผู้บริโภคไม่สามารถแยกแยะได้ว่านี่คือแพทย์จริงหรือแพทย์ AI ส่งผลให้เกิดความหวาดระแวงในการรับข้อมูลสุขภาพออนไลน์ นอกจากนี้ ยังมีความเสี่ยงเรื่องการขโมยอัตลักษณ์ (Identity Theft) ที่แพทย์ตัวจริงอาจถูก AI โคลนนิงใบหน้าและเสียงไปใช้ขายสินค้าผิดกฎหมาย ซึ่งสร้างความเสียหายต่อชื่อเสียงและวิชาชีพอย่างประเมินค่าไม่ได้

  1. ช่องโหว่ของแพลตฟอร์ม

จุดที่น่าสนใจและน่ากังวลที่สุดจากข่าวนี้ คือระบบตรวจสอบที่ไล่ตามไม่ทัน รายงานมีการระบุว่าแม้ TikTok จะลบคลิปออกไปแล้ว แต่ก็ยังไม่ได้ลบบัญชีผู้ใช้ ทำให้มิจฉาชีพสามารถอัปโหลดคลิปเดิมซ้ำได้อีก ดังนั้นอัลกอริทึมอาจจะยังเป็นแบบตั้งรับ คือรอมีคนมาแจ้งก่อนจึงลงมือทำ ไม่ได้มีการตรวจจับเอง หากแพลตฟอร์มไม่มีระบบยืนยันตัวตนผู้ลงโฆษณาสินค้าสุขภาพที่เข้มข้นกว่านี้ (เช่น ต้องยื่นใบประกอบวิชาชีพจริง) วงจรนี้อาจจะวนลูปไม่จบสิ้น 

เราอยู่ในจุดที่ AI สามารถสร้างความน่าเชื่อถือได้ง่ายเพียงการป้อนพรอมต์ แพทย์ที่เราเห็นในโซเชียลมีเดียอาจจะไม่มีอยู่จริง และความรู้ที่เราถูกทำให้เชื่ออาจจะเป็นชุดข้อมูลที่ไม่มีแหล่งอ้างอิงที่น่าเชื่อถือเลยก็ได้ ดังนั้นภาระหนักในตอนนี้จึงอยู่กับผู้บริโภคที่ต้องตั้งการ์ดให้สูงขึ้น และแพลตฟอร์มต่าง ๆ ก็ต้องยกระดับความปลอดภัยให้ผู้ใช้งานมากขึ้น เพราะการเดิมพันครั้งนี้ไม่ใช่แค่เม็ดเงิน แต่คือชีวิตและความปลอดภัยของผู้บริโภคที่ไม่ควรถูกแลกด้วยความล้ำหน้าของเทคโนโลยี