เมื่อวันที่ 10 มีนาคม 2022 Apple ได้ประกาศยกเลิกการผลิตสินค้าที่เป็นตำนานกว่า 20 ปีของบริษัทอย่าง iPod ลงในที่สุด ถึงแม้ว่ามันจะเป็นข่าวที่ทุกคนน่าจะทราบดีว่าไม่ช้าก็เร็วก็คงมาถึง แต่มันก็ยังอดไม่ได้ที่จะหวนนึกถึงช่วงเวลาที่สวยงามในวันเก่า ภาพโปสเตอร์โฆษณาสีสดที่เป็นเงารูปคนเต้นในมือถือ iPod พร้อมสายสีขาวที่ระโยงระยางเสียบหูยังคงติดอยู่ในใจเสมอสำหรับแฟน ๆ แต่หลังจากที่ iPhone ถูกนำออกมาสู่ตลาด iPod ก็กลายเป็นเหมือนของเล่นที่ถูกลืมอยู่ภายใต้เงาของนวัตกรรมเปลี่ยนโลกไปอย่างช่วยไม่ได้

แต่อย่าลืมว่า “iPhone จะไม่วันนี้ไม่ได้เลยถ้าไม่มี iPod” มันเป็นก้าวสำคัญของ Apple ที่นำพวกเขากลับเข้าสู่การแข่งขันในธุรกิจอีกครั้ง เป็นเสียงดนตรีปลุกใจ สตีฟ จอบส์ (Steve Jobs) และเหล่าวิศวกรของพวกเขาให้ฮึกเหิมและสร้างฐานรากที่สำคัญของบริษัทจนเติบโตมาได้ถึงทุกวันนี้ เป็นแสงสว่างปลายอุโมงค์ของบริษัทที่ตอนนี้เกือบจะเอาตัวไม่รอดอยู่แล้ว

แฟน ๆ ของ Apple หรือคนที่คลุกคลีในวงการเทคโนโลยีน่าจะพอทราบถึงเรื่องราวการฟื้นกลับมาของบริษัทที่ถูกเล่าต่อกันเหมือนเป็นนิทานก่อนนอนไปแล้ว แต่สำหรับคนที่ไม่คุ้นขอสรุปสั้น ๆ จะได้ไม่ยืดเยื้อว่าช่วงปี 90’s สำหรับ Apple นั้นไม่ค่อยสวยงามสักเท่าไหร่ เกือบจะล้มละลายแล้วด้วยซ้ำ พอเข้าสู่ช่วงเปลี่ยนผ่านของทศวรรษก็ดูดีขึ้นกว่าเดิมเล็กน้อย iMac G3 มีคนสนใจและขายได้ค่อนข้างดี รายได้ก็ค่อย ๆ ฟื้นกลับมา แต่ถึงอย่างนั้นก็ตาม Apple ยังคงเป็นเพียงผู้เล่นตัวเล็ก ๆ ในตลาดที่มีพี่ใหญ่อย่าง Microsoft, HP, Compaq และ IBM ครองอยู่ แม้ G3 จะขายดีแต่ก็ไม่เพียงพอที่จะพลิกให้พวกเขาเป็นตัวเลือกในตลาดสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ได้เลย

เดือนตุลาคมปี 2001 จอบส์ได้เปิดตัว iPod สู่สายตาชาวโลก เป็นเครื่องเล่นเพลงแบบพกพาที่เรียกว่ามาเป็นสะพานเชื่อมให้กับทุกคนเข้ากับเสียงเพลงแบบดิจิทัลที่สามารถจุเพลงได้มากถึง 1,000 เพลงและมีความจุในเครื่องประมาณ 5GB ที่ถือว่าเป็นเทคโนโลยีที่ล้ำสมัยมากในเวลานั้น ตอนนั้นเรามีแผ่น MP3 มีเครื่องเล่น ​​CD MP3 แล้ว แต่มันก็เทอะทะพอสมควรเลย แต่ iPod นั้นขนาดเล็ก ไม่ต่างจากสมาร์ตโฟนที่เราถือกันอยู่ทุกวันนี้ พกพาง่ายและมี Scroll Wheel ไว้สำหรับสั่งการทำงานของตัว iPod ที่ไม่เหมือนใครด้วย เสียบเข้ากับคอมพิวเตอร์ด้วยสาย FireWire เพียงไม่กี่คลิกก็โหลดเพลงมาไว้บนเครื่องเพื่อเอาติดตัวไปที่ไหนก็ได้ ตามสโลแกน “A Thousand Songs in Your Pocket” (1,000 บทเพลงในกระเป๋าของคุณ)

นี่เป็นก้าวสำคัญของ Apple จากตลาดนิชเล็ก ๆ ของตัวเองมาสู่ตลาดผู้บริโภคขนาดใหญ่อย่างเต็มตัว สินค้าที่ผ่านมานั้นกระจุกตัวอยู่กับคนเพียงกลุ่มเล็ก ๆ โดยเฉพาะนักออกแบบหรือคนที่ทำงานสายกราฟิก แต่ iPod เข้าถึงคนทั่วไปได้อย่างกว้างขวาง ทุกคนรักการฟังเพลง และยอดขายของ iPod ก็เป็นเครื่องยืนยันความคิดนี้ของจอบส์ได้เป็นอย่างดี ภายในเวลาไม่กี่ปียอดขายของ iPod ก็พุ่งทะยานอย่างฉุดไม่อยู่ มีการรองรับการเชื่อมต่อกับระบบปฏิบัติการ Windows ด้วย ข้อมูลจากเว็บไซต์ Statista บอกว่าในปี 2002 iPod ถูกขายไป 4 แสนเครื่อง และ 4 ปีต่อมา 2006 เพิ่มขึ้นเป็นเกือบ 40 ล้านเครื่องเลยทีเดียว เทียบกันตามจำนวนที่ขายแล้ว Mac สู้ iPod ไม่ได้เลย กลายเป็นสินค้าที่ทำให้คนหันมาสนใจ Apple มากขึ้น พร้อมจะหยิบติดตัวไปไหนมาไหนด้วย ฉายภาพของ Apple ให้กลายเป็นแบรนด์เทคโนโลยีที่ทันสมัยขึ้นมาอย่างรวดเร็ว

แน่นอนว่ายอดขายยังคงเติบโตขึ้นมาเรื่อย ๆ จนในปี 2007 อยู่ที่ราว ๆ 51 ล้านเครื่อง และก็เป็นปีเดียวกันที่ Apple ได้ประกาศนวัตกรรมชิ้นต่อไปนั่นก็คือ iPhone รุ่นแรกที่มาเปลี่ยนอุตสาหกรรมสมาร์ตโฟนไปตลอดกาล ตอนนั้น iPod ยังคงเป็นรุ่นพี่ที่มีอิทธิพลค่อนข้างเยอะ สังเกตได้จากตอนที่จอบส์แนะนำ iPhone ว่ามันเป็น “Wide-Screen iPod with Touch Controls” หรือ iPod หน้าจอใหญ่ที่ควบคุมได้จากการใช้นิ้วสัมผัสนั่นเอง เขาพยายามเปรียบเทียบแบบนี้ให้มันชัดเจน เพราะคนยังคุ้นเคยกับ iPod อยู่และ iPhone ก็ถูกสร้างขึ้นมาบนเทคโนโลยีที่พัฒนาขึ้นมาจาก iPod ด้วยเช่นกัน

พูดอีกอย่างคือถ้าไม่มี iPod ก็ไม่มี iPhone เหมือนอย่างทุกวันนี้

iPhone ช่วงแรก ๆ ต้องเชื่อมข้อมูลกับ iTunes เพื่อจะ Activate และจัดการหลาย ๆ อย่าง ซึ่งที่ทำแบบนี้ก็เพราะว่าคนที่ใช้ iPod อยู่แล้วจะเข้าใจเลยทันทีว่าต้องทำยังไงต่อ เพลงต่าง ๆ ก็อยู่ใน iTunes อยู่แล้วเพราะฉะนั้นเลยไม่ต้องย้ายไปย้ายมา เมื่อเชื่อมต่อเรียบร้อยเรายังเห็นไอคอน ‘iPod’ อยู่บน iPhone ด้วยในช่วงแรก หลังจากนั้นเราก็เริ่มเห็นฟีเจอร์ใหม่ ๆ เติมเข้ามาอย่าง App Store ที่เปิดตัวด้วยแอปกว่า 500 แอปในตอนนั้น แต่เทคโนโลยีนี้ก็มาจากประสบการณ์การเปิดร้านขายเพลงออนไลน์ของ iTunes Music Store ในปี 2003 และขายภาพยนตร์ในปี 2006 แน่นอนด้วยตัวมันเอง iPhone ถือว่าเป็นนวัตกรรมเปลี่ยนโลก แต่ถ้าบอกว่ามันจะเกิดขึ้นเป็น iPhone เลยทันทีโดยไม่มี iPod ปูทางมาให้คงเป็นไปไม่ได้

ยอดขายของ iPod ลดลงเรื่อย ๆ อย่างเห็นได้ชัดหลังจากปี 2009 เมื่อ iPhone กลายเป็นสินค้าที่ทุกคนต้องการ พอมาในปี 2010 ก็มี iPad เข้ามาร่วมวงด้วยยิ่งทำให้ความต้องการ iPod ในตลาดน้อยลงไปกว่าเดิม เราเห็นการมาของ iPod Touch ที่เป็นเหมือน iPhone แค่ไม่มีฟีเจอร์โทรศัพท์ แต่มันก็ไม่ได้ตอบโจทย์สักเท่าไหร่สำหรับคนที่มี iPhone อยู่แล้วก็ไปใช้อุปกรณ์ที่หน้าจอใหญ่กว่าอย่าง iPad ดีกว่า

ความสำคัญของมันก็น้อยลงไปเรื่อย ๆ ในอีก 10 ปีต่อมา iPod Classic หยุดการขายไปในปี 2014 จนกระทั่งปี 2015 ที่เริ่มมีการรายงานยอดขายของ iPod ไปรวมกับสินค้าอื่น ๆ อย่าง Apple TV, Apple Watch และ Beats ต่อมาก็ถึงคราวของ iPod Nano และ Shuffle ในปี 2017 และแน่นอนล่าสุด iPod Touch เป็นคนสุดท้ายที่ต้องออกจากสายการผลิตในปี 2022

คงเดาได้ไม่ยากว่า iPod Touch Gen 7 (ล่าสุด) ขายไม่ดีสักเท่าไหร่ในช่วงสองสามปีที่ผ่านมา แต่แน่นอนว่าสำหรับแฟนของ iPod ก็คงมีคนคิดถึงมันอย่างแน่นอน (อย่างผู้เขียนเองก็มี iPod Touch Gen 6 ที่ใช้อยู่ทุกวันนี้ที่มักจะหยิบขึ้นมาใช้เมื่อคิดถึงวันเก่า ๆ) และกลายเป็นว่ามีกระแสที่คนไปตามหา iPod Touch Gen 7 ตามสาขาต่าง ๆ เพราะอยากซื้อเก็บเอาไว้เป็นความทรงจำดี ๆ

ถึงแม้ว่าตอนนี้ iPod จะกลายเป็นอดีตไปแล้ว แต่สิ่งที่มันสร้างเอาไว้นั้นยังอยู่กับเราต่อไป เห็นได้จากผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ ที่ Apple มีในวันนี้ว่ามีพื้นฐานมาจาก iPod ที่แข็งแกร่ง ธุรกิจของ Streaming เพลงก็มาจากตรงนั้น หูฟัง AirPod ก็เริ่มจากตรงนั้น (ที่มีคนล้อว่ามันคือหูฟัง Apple ที่ตัดสายออก) iPod ถูกพัฒนาจนสามารถดูไฟล์วีดีโอได้ ต่อมากลายเป็น ​Apple TV Plus แล้วยังจำได้ไหมว่าเคยใช้ iPod Nano ที่หน้าจอสี่เหลี่ยมจัตุรัสเป็นนาฬิกาบนข้อมือ ต่อมามันก็กลายเป็น Apple Watch

แน่นอนว่า iPhone ยังคงเป็นผลิตภัณฑ์ทำให้ Apple ประสบความสำเร็จจนถึงจุดนี้ สร้างรายได้ให้กับบริษัทอย่างมหาศาล แต่เราต้องจำเอาไว้ว่าความสำเร็จของผลิตภัณฑ์หนึ่งไม่ได้เกิดขึ้นเพียงชั่วข้ามคืน (แม้จะดูเป็นแบบนั้นก็ตาม) มันมีการพัฒนาอย่างต่อเนื่องนานนับสิบ ๆ ปี มีการตัดสินใจมากมายระหว่างทางและแน่นอน iPhone ก็ไม่ต่างกัน มันเกิดขึ้นได้เพราะแรงขับที่ iPod สร้างขึ้นมาก่อนหน้านั้นจนผู้ใช้งานเชื่อมั่นในผลิตภัณฑ์ รู้จักและคุ้นชินกับการใช้งาน และกลายเป็น iPhone ในที่สุด

ที่มา: The Verge, Lowend Mac, CNBC
Vimeo, The Verge 2, The Verge 3

พิสูจน์อักษร : สุชยา เกษจำรัส