[สัมภาษณ์] ก่อน-ระหว่าง-หลัง ชีวิตการเป็นไอดอลมืออาชีพ และทาเลนต์ beartai ของ ‘นาวลิ้ม ญาตาวี’

‘ก่อน’ ที่ ‘นาวลิ้ม ญาตาวี ลิ้มศิริโพธิ์ทอง’ จะกลายมาเป็นหนึ่งในสมาชิกไอดอลวง ‘CM Cafe’ อย่างที่เรารู้จักกันดี เธอคือเด็กสาวคนหนึ่งที่ต้องฝ่าฟันอุปสรรคมามากมาย แม้ไอดอลจะเป็นโลกที่สดใสสวยงาม แต่โลกไอดอลที่เธออยู่ก็มีเรื่องให้ต้องฝ่าฟันอยู่ไม่น้อย ทั้งหมดนี้สะท้อนผ่านบทสัมภาษณ์ที่เธอเล่าเรื่องเกี่ยวกับไอดอลอย่างเข้าใจซะจนแทบจะไม่ต้องสงสัยเลยว่า ทำไมผู้เขียนจึงอยากยกให้เธอว่าเป็นหนึ่งในไอดอลมืออาชีพ

‘ระหว่าง’ นั้น เธอได้ก้าวมาเป็นหนึ่งในทาเลนต์ของ beartai ด้วยความสามารถด้านการพูดที่โดดเด่น ทำให้เธอกลายเป็นทาเลนต์ไม่กี่คนที่ได้มีโอกาสข้ามไปทำงานกับแทบจะทุกเพจ และในเนื้อหาแทบจะทุกรูปแบบ เรียกได้ว่าเป็นทาเลนต์คนหนึ่งที่มีผลงานมากมายและหลากหลายตลอด 3 ปี

Nowlim Yatawee

‘หลัง’ จากที่เธอประกาศจบการศึกษาจากวงไอดอล เส้นทางต่อจากนี้ของเธอ ทั้งในฐานะศิลปินเดี่ยว และทาเลนต์ของ beartai ล้วนน่าจับตามองทั้งสิ้น เพราะเธอยังยืนยันว่า จะยังคงยืดมั่นและทำสิ่งที่อยากทำไปตลอด ไม่ว่าจะก่อน ระหว่าง หรือหลังจากนี้ก็ตาม


อัปเดตชีวิตให้แฟน ๆ beartai ทราบหน่อยว่าตอนนี้คุณกำลังทำอะไรอยู่บ้าง

ตอนนี้นาวเพิ่งจะแกรดฯ (จบการศึกษา-ประกาศลาออกจากวงไอดอล) จากวง CM Cafe ได้ประมาณ 2 เดือนค่ะ ตอนนี้ก็มีแผนว่ากำลังจะไปออดิชันกับวงไอดอลค่ายใหม่ เพราะนาวเองก็ยังมีเป้าหมายว่าอยากจะอยู่ในวงการบันเทิง ทำงานอยู่เบื้องหน้าเหมือนเดิม

ซึ่งเอาเข้าจริงตอนนี้งานทุกอย่างก็ยังเหมือนเดิมค่ะ แค่ไม่มีงานอีเวนต์ของค่าย อย่างงานอีเวนต์ที่หนูไปร่วมเป็นประจำอย่างเช่นงาน ‘Idol Exchange’ ก็ยังให้หนูไปร่วมงานได้ แต่ว่าไม่ได้ไปร่วมงานในนามของวง แต่ว่าไปไปในฐานะศิลปินเดี่ยว ไปร้องเพลง Cover บ้าง ร้องเพลงที่ไม่ติดลิขสิทธิ์ แล้วก็คิดท่าเต้นไปโชว์เองกับเพื่อน ๆ อะไรประมาณนี้ค่ะ

ส่วนงานส่วนตัวก็มี ร้องเพลง Cover ค่ะ กำลังรอจะไปถ่าย MV กับเพื่อนค่ะ ด้วยความที่เราทำกันเอง เหมือนเป็นการทำเล่น ๆ กับเพื่อน ก็เลยไม่ได้เร่งที่จะต้องรีบปล่อยอะไรขนาดนั้น ซึ่งเร็ว ๆ นี้ก็จะมีไปอัดกันอีกเพลง แล้วก็จะถ่าย MV เพื่อรอปล่อยพร้อม ๆ กันทีเดียวเลย นอกจากนี้ก็รับงานแบบปกติเหมือนเดิมเลยค่ะ เพราะว่าตอนที่อยู่กับค่าย ค่ายก็ให้อิสระในการรับงานนอกด้วยตัวเองอยู่แล้ว ก็เลยไม่ได้ถึงกับเปลี่ยนอะไรมาก แค่จะไม่ค่อยได้เจอกับพี่ ๆ แฟนคลับเท่านั้นเองค่ะ

Nowlim Yatawee

แล้วตอนนี้ที่แกรดฯ ออกมาแล้ว มีแผนจะทำอะไรต่อไหม

อย่างที่บอกว่า กำลังจะออดิชันเข้าวงไอดอลวงใหม่นั่นแหละค่ะ เพราะว่าหนูยังอยากอยู่เบื้องหน้าต่อไป หนูจะชอบบอกกกับพี่ ๆ แฟนคลับว่า ไม่ต้องกลัวว่าหนูจะหายหน้าไปไหนหลังจากที่หนูแกรดฯ แล้ว เพราะหนูจะมาให้พี่ ๆ เห็นหน้าตลอด แม้ว่าจะไม่ใช่ไอดอลแล้ว แต่ก็จะมาในรูปแบบอื่น ๆ ต่อให้ไม่มีงานหรือไม่มีใครจ้างเลย หนูก็อาจจะ Live ให้พี่ ๆ เห็นหน้าหนูอยู่ดี

นอกจากเรื่องงาน ชีวิตส่วนตัวหลังแกรดฯ ของคุณเปลี่ยนไปบ้างไหม

ถ้าในแง่ชีวิตถือว่าแทบไม่เปลี่ยนเลยค่ะ เพราะว่าตอนที่อยู่กับวง วงเองก็ไม่ได้วางกรอบไว้แน่นหนาอะไรขนาดนั้น แล้ว ประกอบกับว่าตอนเซ็นสัญญา ก็มีการคุยตกลงในแง่ของเงื่อนไขค่อนข้างชัดเจน โดยเฉพาะเงื่อนไขของการทำงานที่เราอยากทำ ตั้งแต่ก่อนที่นาวไปออดิชันเข้าวง พอเป็นไอดอล ชีวิตนาวก็เลยไม่เปลี่ยน และพอแกรดฯ ออกมา ก็แทบจะไม่แตกต่างเลย แค่ไม่มีอีเวนต์ร่วมกับวงแล้วแค่นั้นเองค่ะ

รวมทั้งพี่ ๆ แฟนคลับเองที่รู้จักนาวมาตั้งแต่ตอนนั้น ก็ยังรู้สึก และปฏิบัติตัวกับนาวเหมือนเดิม เหมือนตอนที่นาวเป็นไอดอลยังไงยังงั้น (หัวเราะ) จะมีก็แค่ปีแรกตอนที่เป็นไอดอลแหละค่ะ ที่นาวรู้สึกไม่เป็นตัวเอง เหมือนงง ๆ ไปแป๊บหนึ่งว่า อะไรที่ไอดอลทำได้หรือทำไม่ได้บ้าง แต่พอชินแล้ว พอรู้ว่าอะไรบ้างที่ทำได้ ยังเป็นตัวเราเอง แล้วก็ไม่ได้ทำให้วงเสียหาย ก็เลยทำให้ชีวิตเริ่มเข้าที่เข้าทางเป็นปกติค่ะ

Nowlim Yatawee

ย้อนถามหน่อยได้ไหมว่า ก่อนหน้านี้ทำไมคุณถึงอยากเข้ามาเป็นไอดอล

ถ้าเอาตั้งแต่เรื่องชีวิตเลยก็คือ นาวมาจากบ้านนาวเป็นลูกคนโตจากพี่น้องสามคน แล้วที่บ้านล้มละลายค่ะ ตอนอยู่ประถมกับมัธยม นาวก็เลยต้องย้ายบ้าน ย้ายโรงเรียนบ่อย แล้วก็มาอยู่กับคุณยาย ส่วนพ่อกับแม่ก็แยกย้ายกันไปทำงานหาเงิน แล้วด้วยการเงินของที่บ้านก็ไม่ได้ดีมาก นาวก็เลยต้องทำงานไปด้วยระหว่างเรียน ตอนนั้นเลยรู้สึกว่า การทำงานแล้วได้เงินมามันทำให้เรารู้สึกดี ก็เลยกลายเป็นว่าติดการทำงาน ถ้าอยู่เฉย ๆ ก็ไม่ได้อะไร

อาจจะเพราะพื้นฐานนิสัยหนูเป็นคนไฮเปอร์ ชอบยุกยิก ๆ อยู่แล้วด้วย แต่ก็แอบมีความเป็น Introvert ด้วยนะ อย่างเช่นพอทำงานมาทั้งวันแล้ว พอกลับมาบ้านก็ไม่ค่อยอยากคุยกับใคร อยากนั่งนิ่ง ๆ เงียบ ๆ จนเพื่อนถามว่าโกรธอะไรหรือเปล่า แต่จริง ๆ แล้วแค่พลังหมด แค่อยากอยู่เฉย ๆ เพื่อชาร์จพลังเพื่อจะได้ออกไปทำงานแบบไฮเปอร์ ๆ ในวันอื่นต่อไป

แล้วพอเข้ามาอยู่กรุงเทพฯ ค่าใช้จ่ายก็เยอะขึ้น แล้วหนูมีน้องสาว 2 คน พอหนูเข้ามหาวิทยาลัย น้องคนเล็กก็กำลังจะเข้ามัธยมพอดี ค่าใช้จ่ายก็เยอะขึ้นอีก แล้วแม่ก็ต้องไปโฟกัสที่น้อง จะรอคุณแม่โอนเงินมาให้มันก็ไม่พอ จากที่หนูอยู่บ้านที่สุรินทร์ หนูแทบจะไม่เคยไปไหนเลยนะคะ เพราะว่าหนูเป็นลูกคนโต เหมือนพ่อแม่เขาทดลองเลี้ยงลูกคนแรกนั่นแหละ ที่บ้านก็เลยจะหวงมาก แทบจะไม่เคยไปนอนบ้านเพื่อน ไม่ยอมไปเที่ยวกับเพื่อนด้วยซ้ำ ขนาดที่โรงเรียนจะมีทัศนศึกษา คุณแม่ยอมจ่ายเงินเพื่อจ้างหนูให้อยู่บ้าน (หัวเราะ) แต่น้องสาวคือปล่อยให้ไปเที่ยวตลอด

ค่าครองชีพในกรุงเทพฯ มันแพงมากซะจนตอนเรียน หนูเองเคยถึงขนาดที่ว่าเงินส่วนตัวแทบจะไม่มี แม่ก็ไม่ได้โอนมาให้ ต้องนับเศษเหรียญ ได้มา 5 บาทก็เอาไปซื้อมาม่ามาหักแบ่งกิน 2 วัน ต้องคอยนับเศษเหรียญเอาว่าพอจะซื้ออะไรกินได้บ้าง ถึงขนาดนั้นเลย ก็เลยต้องออกไปทำงานค่ะ งานแรกที่ทำก็คือไปทำงานเป็นแผนก Catering จัดอาหารในงานอีเวนต์ แล้วด้วยความที่เราพูดเก่งมาตั้งแต่มัธยมแล้ว เป็นพิธีกรงานโรงเรียน แล้วก็ชอบคุยกับพี่ ๆ เมาต์มอย พี่ ๆ เขาก็เลยให้ไปทำงานโน้นงานนี้ ก็เลยได้ไปช่วยแผนกขาย ขายงานลูกค้าคอนโดมิเนียม แล้วก็ขยับขึ้นไปเป็นพริตตี คอยให้ข้อมูลโครงการเวลามีคนเข้ามาซื้อคอนโด

แล้วโดยปกติแล้วพริตตีจะต้องยืนให้ข้อมูลทั้งวัน 8 ชั่วโมงใช่มั้ยคะ แต่ MC พูดแค่นิดเดียวแต่ได้เงินเยอะกว่า หนูก็เลยบอกกับพี่ ๆ ว่า หนูสามารถพูดออกไมค์ได้นะ ไม่เขินไมค์เลย หนูก็เลยได้ขยับขึ้นไปเป็น MC แล้วหนูทำงานจนแทบจะรู้เกี่ยวกับโปรดักต์ทุกอย่างในบริษัทแล้ว พี่ ๆ ก็เลยลองให้เป็นฝ่ายขายด้วย ถ้าขายได้ก็จะได้ Incentive ด้วย

Nowlim Yatawee

แล้วด้วยความที่ว่า งาน MC หรือพริตตีตามงานอีเวนต์ต่าง ๆ มันก็ไม่ได้มีบ่อย มีเป็นช่วง ๆ นาวก็เลยไปทำงานอื่น ๆ ด้วย เช่นแจกใบปลิว ทอดเฟรนซ์ฟรายด์ ยืนขายผลไม้อบแห้งตามบูธต่าง ๆ จนบางคนคิดว่าหนูเป็นเจ้าของแบรนด์ เพราะว่าพูดเก่ง แล้วช่วงนั้นนาวก็พอจะมีเงินเก็บบ้างแล้ว ก็เลยรู้สึกว่าไม่จำเป็นต้องทำงานเยอะขนาดนั้นแล้วก็ได้ อยากทำตามความฝันบ้าง

จริง ๆ แล้วหนูไม่ได้มีความฝันว่าอยากจะเป็นไอดอลตั้งแต่แรก นาวเองก็เพิ่งจะรู้จักคำว่าไอดอลก็คือ ซิงเกิล “Koisuru Fortune Cookie (คุกกี้เสี่ยงทาย)” ของวง BNK48 นี่แหละ แล้วพอเขาเปิดออดิชัน ประกอบกับว่าเริ่มอยากหาอะไรทำ ก็เลยเข้าไปลองสมัครดู ทั้ง ๆ ที่หนูเป็นคนมั่นใจในการพูด แต่ไม่ได้ร้องเก่ง เต้นเก่งเลย ก็เลยต้องฝีกร้องฝึกเต้นเอง แต่จุดอ่อนอีกอย่างของหนูคือ หนูไม่รู้จัก ไม่มีข้อมูลเกี่ยวกับเมมเบอร์ หรือองค์กรใน 48 Group มาก่อนเลย รู้แบบผิวเผิน ก็เลยทำให้หนูร้องแต่เพลงดัง ๆ ตอนออดิชัน

แล้วประกอบกับว่า เงื่อนไขของวงไอดอลที่หนูพอรู้มาก็คือ จะไม่สามารถรับงานนอกได้เอง ถึงแม้ว่าจะมีเงินเดือนให้ แต่ด้วยความที่ฐานะทางบ้านหนูเองก็ไม่ได้มากพอที่จะทุ่มเทมาทำงานตรงนี้ได้แบบเต็มที่ขนาดนั้น ก็เลยไม่ได้ไปต่อ แต่หลังจากนั้นแค่แป๊บเดียว ทางวง CM Cafe ก็ติดต่อมา ซึ่งทางวงเองเขาก็เข้าใจและอนุโลมในเงื่อนไขนี้ได้ ก็เลยตกลงที่จะอยู่กับวงค่ะ ซึ่งแฟนคลับที่สงสัยว่าทำไมนาวอยู่กับวง แต่ยังไปรับงานนอก ก็เป็นเพราะเงื่อนไขอันนี้นี่แหละค่ะ

Nowlim Yatawee

คุณบอกว่าตัวเองพูดเก่ง แต่ร้องเต้นไม่เป็น ตอนนั้นคุณฝีนไหม ตอนที่คุณฝึกการร้องการเต้นเพื่อจะเข้าไปเป็นไอดอล

หนูคิดว่าผู้หญิง น่าจะส่วนใหญ่นั่นแหละ อยากให้ตัวเองเป็นที่จับตามองอยู่แล้ว ทั้งการร้องเพลงเพราะ น่ารัก หรือถ้ายกตัวอย่างนาวเองก็ได้ นาวก็เป็นแบบนั้นนั่นแหละค่ะ เหมือนเวลาเราดูวงไอดอลแล้วทำไมเรารู้สึกชื่นชมว่า คนนี้ร้องเต้นเก่ง น่ารัก ดูมีเสน่ห์จังเลย ซึ่งต่อให้ไม่ชอบทำ แต่ลึก ๆ แล้วทุกคนก็มีความต้องการอยากให้ตัวเองร้องเพลงเพราะ เต้นเก่ง มีทักษะอะไรพวกนี้อยู่แล้ว เพื่อจะได้เป็นที่สนใจ

มันก็เลยเป็นเหตุผลว่าทำไมคนถึงชอบร้องเพลง ชอบเต้น ทำโน่นทำนี่ใน Tiktok เต็มไปหมด ซึ่งนาวก็เป็นผู้หญิงคนหนึ่งที่ชอบอะไรแบบนี้เหมือนกันค่ะ และอีกอย่างก็คือ การอยู่ในวงไอดอล มันก็เป็นกิจกรรมหนึ่งที่เราทำแล้วไม่เครียด ได้ออกกำลังด้วย ได้เพื่อนด้วย ก็เลยไม่ได้รู้สึกฝืนค่ะ

แล้วพอได้กลายเป็นเมมเบอร์จริง ๆ แล้วล่ะ

อย่างแรกคือ ก่อนที่นาวจะเข้าวง ก็ได้มีโอกาสไปลองดูวงไอดอลรุ่นพี่ อย่างเช่นวง AKB48 แล้วได้เห็นว่าเขามีความน่ารักสดใส แต่พอได้เข้าไปอยู่ในวงจริง ๆ ถึงรู้ว่าจริง ๆ แล้วความรู้สึกมันคนละอย่างเลย ตอนหนูไปออดิชันวงแรก ขนาดหนูไปออดิชันตอน 18-19 นะ แต่คนที่มาออดิชัน มีแต่น้อง ๆ 12-13 ทั้งนั้นเลย แล้วก็สดใสมาก ๆ ขนาดว่าหนูว่า พาร์ตหนึ่งในตัวหนูเอง มีความสดใสระดับหนึ่งแล้วนะ หนูยังคิดว่ายังสดใสสู้เขาไม่ได้เลย

แล้วพอได้เข้ามาในวงจริง ๆ ด้วยความที่วงมีเมมเบอร์ที่เป็นผู้หญิงมารวมกันเยอะ ๆ แน่นอนว่ามันก็จะมีแรงกดดัน มีการแข่งขันอะไรบางอย่างที่ทำให้เรารู้สึกว่า เราอยากเก่งกว่าคนนั้นคนนี้อยู่แล้ว ทั้งที่ลึก ๆ แล้วเรารู้ตัวว่าเราไม่ได้เก่งอะไรเลย และที่ยิ่งกว่าก็คือ กลัวคนจะไม่รู้ว่าเราไม่เก่งอะไร มันก็เลยทำให้รู้สึกกดดันค่ะ

Nowlim Yatawee

คุณค้นพบอะไรในการเป็นไอดอลบ้าง

อย่างหนึ่งที่หนูจะบอกน้อง ๆ หรือคนที่อยากเป็นไอดอลได้อย่างหนึ่งแน่ ๆ ก็คือ เราไม่สามารถทำให้แฟนคลับชอบได้ ถ้าเราไม่ได้เป็นแบบที่เขาชอบ ไม่ว่าเราจะสดใส ยิ้มเก่ง หรือมีความสามารถแค่ไหน แต่ถ้าเราไม่ใช่ Type แบบที่เขาชอบ ยังไง ๆ เราก็ไม่สามารถไปตก หรือทำอะไรให้เขาชื่นชอบเราได้เลย การที่แฟนคลับจะชอบ เราต้องมีอะไรบางอย่างของเราที่ไปตรงกับสิ่งที่เขาชอบจริง ๆ

กรณีนี้มีเยอะมาก ที่เมมเบอร์พยายามทำทุกอย่างแล้ว แต่แฟนคลับก็ยังไม่ชอบ มันจะกลายเป็นความเครียดว่าทำไมเขาถึงไม่ชอบเรานะ เราทำอะไรผิดหรือเปล่า เราไม่ได้ทำอะไรผิดค่ะ เราก็แค่ไม่ตรงกับ Type ที่เขาชอบ แค่นั้นเอง ถ้าเรามีความสุขกับคนที่เขาชอบเราจริง ๆ และปลงกับเรื่องนี้ได้ มันก็จะทำให้เราเป็นตัวของตัวเอง และโฟกัสกับแฟนคลับที่เขาชอบเรา เพราะความเป็นตัวของเราเองได้ด้วย ซึ่งเรื่องนี้นาวจะบอกกับรุ่นน้องตลอด

เรื่องที่ลำบากที่สุดของการเป็นไอดอลสำหรับตัวคุณคืออะไร

ถ้าลำบากที่สุดก็น่าจะเป็นเรื่องชีวิตส่วนตัวค่ะ แม้ว่าเราจะกันเวลาชีวิตส่วนตัวไว้บ้าง แต่สุดท้าย หนูรู้สึกว่า การเป็นไอดอล ต้องเป็นไอดอลตลอดเวลา ยกเว้นตอนที่เหนื่อย ๆ แล้วอยู่ห้องคนเดียว นอกนั้นหนูต้องทำงาน 24 ชั่วโมง (หัวเราะ) สำหรับหนู การเป็นไอดอเหมือนว่าหนูกำลังทำงานเลย เหมือนที่หนูบอกไปนั่นแหละว่า จุดยืนชัดเจนมากว่า ที่หนูมาเป็นไอดอลเพราะว่าอยากได้เงิน เพราะว่าคนเราทำงานทุกอย่างก็ควรได้เงินใช่มั้ยคะ (ยิ้ม)

แต่ว่าพอทำงานไปนาน ๆ โฟกัสเรื่องนี้มันก็น้อยลง เพราะว่าหนูรู้สึกสนุกกับมัน เวลาเจอพี่ ๆ แฟนคลับ บางครั้งหนูก็รู้สึกว่าเหมือนได้มาเจอกับครอบครัว กำแพงที่เราแบ่งชีวิตส่วนตัวกับเรื่องงานมันก็บางลง พอได้คุยกัน เมาต์เรื่องชีวิตส่วนตัวให้ฟังกัน ก็เหมือนกลายเป็นญาติกัน รู้เรื่องกันและกันไปแล้ว

อันนี้มันก็มีความยากอยู่ที่ว่า ถ้าเราวางตัวผิดไปนิดเดียว บางคนก็อาจจะก้าวข้ามเส้นนั้นมา และถ้าถึงจุดที่เราทนกันไม่ได้ ก็อาจจะต้องแยกจากกันไป อย่างเช่นมีพี่ ๆ แฟนคลับที่เขาคิดกับหนูเกินกว่าคำว่าไอดอล หนูก็ต้องชัดเจนว่า ไม่ได้ค่ะ คือกลายเป็นว่าก็ต้องห่างกันออกไป ทั้ง ๆ ที่เขาเป็นพี่ที่สนิทและดีกับเรามาก ๆ การรักษาความส่วนตัวก็เลยเป็นสิ่งที่ยากมาก ๆ เหมือนกันสำหรับอาชีพนี้

แล้วเรื่องที่คุณรู้สึกชอบล่ะ

สิ่งที่ชอบคือ หนูรู้สึกว่าเราได้เป็นเด็กอยู่ตลอดเวลา เวลาไปงาน เจอพี่ ๆ แฟนคลับ เราสามารถเป็นตัวเองได้โดยที่เราไม่ต้องวางมาด เราเป็นตัวเองได้ เหมือนเวลาเราอยู่กับเพื่อนตอนมัธยม ด้วยความที่หนูทำงานหลายอย่าง ชีวิตก็เลยมีหลายพาร์ต บางครั้งตอนเช้าหนู่ต้องไปทำงานแบบจริงจัง พอตอนบ่ายก็มาออกงานอีเวนต์ของค่าย มันทำให้หนูเห็นแรงกดดันคนละแบบ ถึงเราจะอยากให้ทุกงานที่เราทำมันออกมาดีที่สุด แต่สุดท้ายเราจะรู้ข้างในลึก ๆ เองแหละว่าอะไรที่เรารู้สึกว่าต้องพยายามมาก ๆ ในขณะที่บางอย่างไม่ต้องออกแรงที่จะพยายามเลย

Nowlim Yatawee

ในวงการไอดอลจะมีประโยคที่ว่า “แฟนคลับกับไอดอลคือกำลังใจ เป็นพลังบวกซึ่งกันและกัน” สำหรับคุณมันเป็นแบบนั้นจริงไหม เพราะถ้าเป็นคนที่ไม่ได้ติดตาม ไม่ได้อิน ก็อาจจะคิดว่าประโยคนี้มันช่างน้ำเน่าเหลือเกิน

หนูว่าจริง คนข้างนอกที่เขาไม่ได้เข้ามาสัมผัสในวงการนี้ เขาอาจจะคิดยังไงก็ได้แหละ แต่ถ้าเขาติดตามอยู่ ต่อให้สิ่งที่เราทำ มันจะเป็นความพยายามเล็ก ๆ ที่บางทีคนรอบข้างไม่เห็น แต่แฟนคลับที่ไม่ได้รู้เรื่องชีวิตเราลึก ๆ ด้วยซ้ำ เขากลับมองเห็น ยังไงมันก็ทำให้เรารู้สึกใจฟูขึ้นมาได้

หรือสมมติว่าพี่ (ผู้สัมภาษณ์) นั่งทำงานทั้งวัน ไม่มีใครเห็นเลย แต่มีใครสักคนมาบอกว่า เหนื่อยมั้ยคะ สู้ ๆ นะ หรืออะไรแบบนี้ ต่อให้เขาจะไม่รู้ว่าพี่ทำงานเหนื่อยมาทั้งวัน แต่พี่จะรู้สึกเองแหละว่าพี่ต้องการมัน นาวว่ามันเลยเป็นอะไรบางอย่างที่ทำให้คนที่รู้สึกเหนื่อย ท้อแท้ยังต่อสู้ต่อไปได้ แต่ถ้าคนที่เขาคิดว่าสิ่งนี้มันดูน้ำเน่า ดูละคร ๆ เขาจะคิดว่ามันเป็นไปไม่ได้ก็ไม่ผิด เพราะเขาไม่ได้ต้องการมัน แต่ถ้าวันใดคุณต้องการมัน คุณจะเข้าใจและรู้สึกได้ถึงสิ่งนี้ได้เอง

Nowlim Yatawee

(อ่านต่อหน้า 2)