นิก กัคช์ (Nick Gaksch) อาจจะไม่ได้เป็นชื่อที่คุ้นเคยนักสำหรับแฟน ๆ beartai แต่ถ้าพอรู้ว่า ในเครือเดียวกัน ก็ยังมีเว็บไซต์บันเทิงสายไอดอล และสาย Boy’s Love ที่กำลังมาแรงในเวลานี้อย่าง madan.fun ก็น่าจะพอคุ้นเคยกับ นิก ทาเลนต์ของ Madan หรือ นิก เด็กดัน หนุ่มหล่อลูกครึ่งไทย-สวิตเซอร์แลนด์ ที่น่าจะได้เห็นเขาเป็นโฮสต์ทั้งในเบื้องหลังการถ่ายแฟชั่น และในคลิปเด็กดัน

แม้ว่าเขาจะมีหน้าที่เป็นโฮสต์ที่รับหน้าที่พาแฟนคลับไปพบกับเรื่องราวสุดฟินในโลกแห่งบันเทิง แต่เรื่องราวและตัวตนของทาเลนต์คนแรกของ Madan และในฐานะ ‘นายแบบท่านหนึ่ง’ ที่มีอะไรที่น่าสนใจไม่แพ้กัน จนเราเองก็อยากจะช่วยดันเขาให้ทุกคนได้รู้จักมากยิ่งขึ้นกว่าเดิม


อัปเดตหน่อยว่าตอนนี้คุณกำลังทำอะไรอยู่บ้าง

ตอนนี้หลัก ๆ เลยก็คือ นิกกำลังจะเข้าเรียนที่มหาวิทยาลัยกรุงเทพครับ เพราะก่อนหน้านี้นิกเรียนจนถึง ม.4 แล้วก็สอบ GED เทียบวุฒิ ม.6 ระหว่างนี้ก็จะเป็นงานเดินแบบ ถ่ายแบบ เดินแฟชั่นโชว์ และก็มีงานกับทาง Madan อันนี้แน่นอน (หัวเราะ) ซึ่งนิกมาเป็นพิธีกรในส่วนของพิธีกรของสายวายครับ เวลามีศิลปินไอดอลคนไหนมา เราก็จะรับหน้าที่ไปตามเก็บเบื้องหลัง ไปสัมภาษณ์เขาตอนถ่ายแฟชันใน Madan อะไรแบบนี้ครับ

ครอบครัวคุณผลักดันให้คุณเป็นนายแบบมาตั้งแต่เริ่มไหม

เล่าพื้นฐานของที่บ้านก่อนก็แล้วกันครับ ก็คือนิกเป็นคนกรุงเทพนี่แหละ แต่ว่าพื้นเพที่บ้านก็จะเป็นคนภาคอีสาน แล้วคุณตากับคุณแม่ก็เป็นลูกครึ่งเหมือนกัน นิกกับคลีโอน่า น้องสาว ก็เลยเป็นลูกครึ่งด้วยเหมือนกัน ตอนนี้คลีโอน่าก็กำลังเดินแบบ ถ่ายแบบด้วยเหมือนกัน ซึ่งที่บ้านด้วยความที่คุณพ่อ (เบอร์นี่ กัคช์) ก็เป็นดารายุค 90’s และคุณแม่ก็เป็นนางแบบด้วยเหมือนกัน ซึ่งพ่อเขาก็อยากให้เราอยู่ในวงการด้วย ก็เลยไปแนะนำลูกชายว่าตัวสูงกับคนโน้นคนนี้

แล้วตอนนั้น คุณแม่เริ่มส่งไปเรียนเดินแบบเลยครับ ก็เลยได้เรียนในโรงเรียนเดียวกับนางแบบดัง ๆ แล้วพอเรียนได้ 3-4 วันก็มีงานแรกเข้ามาเลยครับ เพราะว่าเป็นคอนเน็กชันจากทางคุณแม่ งานแรกก็คืองานเดินแบบของแบรนด์ Valentino ซึ่งเราก็ได้ไปเดิน พอมีคนเห็นหน้าเรา ก็เลยมีคนชักชวนเข้าวงการ ก็เลยทำงานมาเรื่อย ๆ เลยครับ ทั้งเดินแบบ ถ่ายแบบ ถ่ายโฆษณาบ้าง พากย์เสียงโฆษณาบ้าง แต่ไม่เยอะ กลายเป็นว่าพ่อกับแม่นี่แหละครับที่พาเข้าวงการ

การเป็นนายแบบเป็นความใฝ่ฝันของคุณมาตั้งแต่แรกเลยไหม

ตอนเด็ก ๆ อยากเป็นทหารครับ เพราะตอนเด็ก ๆ อยู่ที่โคราช เราชอบเล่นอะไรบู๊ ๆ แล้วเราเห็นลูกของญาติ ๆ ที่รู้จักกันเขาไปเป็นทหารกันที่กรุงเทพฯ พอเขากลับมาเยี่ยมบ้าน เราเห็น เราก็เลยอยากเป็นเหมือนเขาบ้าง เพราะว่าเขาดูแข็งแรงดี เพราะแต่ก่อนเราก็ไม่ดูแลตัวเองเลย เป็นเด็กดำ ๆ บ้าน ๆ ชอบอะไรบู๊ ๆ ห้าว ๆ เหมือนเด็กต่างจังหวัดเลยครับ เลยไม่มีความคิดที่อยากจะเข้าวงการ เพราะว่าเราเองก็เป็นเด็กขี้อาย พูดน้อย ๆ เลยอยากเป็นทหารมากกว่าครับ

แต่ว่าแม่ของคุณเองก็เป็นถึงนางแบบ เคยมีสักแวบที่อยากเป็นนายแบบเหมือนกันบ้างไหม

นิกไม่ได้อยากเป็นแบบแม่เลยครับ เพราะรู้สึกว่างานที่แม่ทำมันเหนื่อยมาก ต้องตื่นเช้ามาแต่งหน้า แล้วเราก็ไม่ชอบการแต่งหน้าแต่งตา แล้วแม่กลับบ้านดึกทุกครั้ง ก็เลยไม่มีความคิดที่อยากจะเป็นแบบแม่ครับ แล้วก็ไม่อยากเป็นนักแสดงเหมือนพ่อด้วยนะ เพราะพ่อชอบเล่าว่า การทำงานในวงการบันเทิงมันเหนื่อย เจอทั้งแสงสีเสียง ความกดดัน คู่แข่งรอบข้างเยอะมาก เราเลยรู้สึกกลัวและกดดัน แล้วเราก็ไม่ชอบการแข่งขัน ไม่ชอบความกดดันอีก ก็เลยไม่อยากจะเข้าไปยุ่งในวงการบันเทิง หรือวงการนายแบบ

นิก กัคช์ Madan #เด็กดัน Nick Gaksch
แล้วคุณเปลี่ยนใจหันมาทำงานด้านนายแบบตั้งแต่เมื่อไหร่

จุดที่ทำให้นิกรู้ตัวว่าน่าจะชอบด้านนี้จริง ๆ คือ นิกชอบ จัสติน บีเบอร์ (Justin Bieber) ครับ เพราะว่ายุครุ่งเรืองของเขาตอนนั้น มันเป็นยุคที่เขาโดดเด่นในเรื่องของแฟชั่น เพราะว่าเขาเป็นคนชอบแต่งตัวมาก เราเห็นแล้วก็เลยรู้สึกว่า เราอยากแต่งเหมือนเขา แม่ก็เลยบอกว่า ถ้าอยากแต่งตัวเหมือนเขา ก็ต้องรู้เรื่องของแฟชัน แล้วก็ต้องดูแลตัวเอง ตอนนั้นเราก็เลยเป็นผู้ชายเจ้าสำอางไปเลย ซึ่งตอนนั้นนิกเพิ่ง 6-7 ขวบเองครับ

ตอนนั้นแม่ซื้อครีมมาบำรุง เริ่มแต่งตัวเลียนแบบ จัสติน บีเบอร์ เขาแต่งแบบไหน เราก็แต่งเลียนแบบเลย ตอนนั้นเราถึงเริ่มรู้สึกว่า เราเองก็ชอบแต่งตัว ชอบแฟชันนี่นา ทำไมไม่ลองไปถ่ายแบบแฟชันเด็กตามที่แม่แนะนำดูล่ะ ตอนนั้นก็เลยเริ่มไปแคสต์ แต่ว่าไม่มีใครชอบเราเลย เพราะว่าตอนนั้นเรามาจากต่างจังหวัด ตัวดำ ๆ ผอม ๆ เหมือนไม่ใช่แบบที่เราอยากได้ แม่ก็เลยปลอบว่า ไม่เป็นไรหรอก สักวันก็ต้องเป็นของเรา

หลังจากนัันก็พักยาวเลยครับ ไม่ได้ไปแคสต์ที่ไหนเลย จนกระทั่ง 10 ขวบ ถึงเริ่มรู้สึกว่าดูดีแล้ว ก็เลยอยากลองแคสต์งานแรกที่สยามกลการ เป็นงานขายโฆษณาเครื่องดนตรี แล้วเราก็ได้ด้วย ตอนนั้นได้บท Extra เป็นตัวประกอบ ดีใจมาก เพราะว่าตอนนั้นไม่รู้ว่าเอ็กซ์ตราคืออะไร พอถ่ายเสร็จ รับเงินกลับบ้าน ก็เลยบอกแม่ว่าชอบทำงานแบบนี้มาก ชอบความรู้สึกตอนมีไฟ มีกล้องมาจับที่เรา แม่ก็เลยพยายามผลักดันเราให้ทำงานในวงการมากขึ้น ส่งเรียนการแสดง การพูด ทุกอย่างที่ต้องใช้ในวงการ

คุณบอกว่าตัวคุณเองไม่ชอบการแข่งขัน แต่ในวงการปกติการแข่งขันก็สูงอยู่แล้วใช่ไหม

ใช่ครับ แต่จริง ๆ มันก็มีส่วนที่นิกชอบนะ พูดแล้วเหมือนงงเอง (หัวเราะ) คือนิกเองก็ไม่ได้มองว่าตัวเองดีแบบ 100 เปอร์เซ็นต์ แต่นิกก็มองว่า การแข่งขัน ความกดดันมันก็เป็นแรงผลักให้เราพัฒนาตัวเองในด้านต่าง ๆ ได้ เช่นอย่างนิกเป็นคนที่พูดไม่เก่ง ถึงตอนนี้ก็พูดไม่เก่ง เราเองเห็นคนรอบข้าง เห็นพิธีกร เห็นพี่คนนั้นคนนี้พูดเก่ง เราก็รู้สึกว่าเราอยากเอาแรงกดดันนั้นมาเปลี่ยนตัวเอง

อย่างงานแรกในชีวิตที่นิกเข้าประกวดก็คือ เวทีสมาร์ตบอย (Smart Boy) ที่เป็นเวทีเดียวกับ Thai Supermodel Contest แม่ก็เลยถามว่าอยากประกวดไหม ลองดูสิ เราก็ โอ๊ย ไม่ชอบการแข่งขัน ไม่อยากแข่งขันกับคนอีกเป็นร้อยคน มันกดดันมาก แต่แม่จะชอบบอกว่า แต่ถ้าอยากเป็น จัสติน บีเบอร์ ก็ต้องเข้าวงการนะ เราก็เลยรู้สึกว่า ถ้าอยากจะเป็นใครสักคนก็ต้องเข้าวงการนั่นแหละ ถ้าไม่รู้จะเข้ายังไงก็ต้องใช้ทางนี้นี่แหละ ก็เลยตัดสินใจเข้าประกวด

พอถึงวันออดิชัน รู้สึกกดดันมาก เพราะว่าวันนั้นมีคนหน้าตาดีเยอะมาก เราก็เลยรู้สึกว่า ไม่ไหวแล้ว บอกแม่ว่ากลับเลยดีกว่า แต่แม่ก็บอกอีกว่า แต่ จัสติน บีเบอร์ ก็มาจากการประกวดนะ เราก็เลยเอาวะ เข้าประกวดก็ได้ วันนั้นก็เลยผ่าน 12 คนสุดท้าย จากประมาณ 500 กว่าคน ก็เลยเริ่มเชื่อมั่นมากขึ้น

ถึงตอนนี้ คุณเองรู้สึกดีกับการประกวดหรือการแข่งขันมากขึ้นบ้างไหม

ไม่ได้รู้สึกดีครับ เพราะว่าส่วนตัวนิกเองไม่ได้เป็นคนชอบการประกวด การประกวดครั้งนั้นเป็นเหมือนใบเบิกทางในอาชีพให้กับนิก เพื่อให้ได้เข้าวงการบันเทิงมากกว่า ส่วนตัวนิกเอง เพราะเอาตรง ๆ นิกเองก็ไม่ค่อยชอบเรื่อง Beauty Privilege (วัฒนธรรมการให้โอกาสและสิทธิพิเศษกับคนที่มีหน้าตา รูปร่าง ตรงตามมาตรฐานความงามมากกว่าคนทั่วไป) ไม่ชอบการแข่งขันในเรื่องของหน้าตา การที่คนหน้าตาดีกว่าจะมีสิทธิเหนือกว่าคนที่หน้าตาอาจจะไม่ได้ร้อยเปอร์เซนต์ มันอาจจะดูย้อนแย้ง แต่นิกมองแค่ว่ามันความจำเป็น เป็นเหมือนโอกาสมากกว่า ถ้าเรามีโอกาสเราจะไม่คว้ามันไว้ก็คงไม่ใช่

อย่างตอนเด็กที่โรงเรียนก็จะมีประกวด เหมือนเป็น School Idol ประกวดว่าใครหน้าตาดีที่สุดในโรงเรียน นิกก็จะไม่ลงประกวดเลย เพราะนิกไม่อยากให้คนมามัวแข่งขันในเรื่องหน้าตา ไม่รู้ว่าเขาเอาเกณฑ์ไหนมาวัดว่า หน้าตาแบบไหนเหรอที่ควรจะเรียกว่าดีที่สุด แน่นอนแหละว่าโลกมันก็ยังเป็นแบบนั้น คนหน้าตาดีก็ยังมีสิทธิ์มากกว่าเหมือนเดิม แต่เหมือนเราก็รู้อยู่ในใจว่าเราไม่ได้ชอบสิ่งเหล่านี้

กีฬา หรือวิชาการยังมีการซ้อม แล้วอาชีพนายแบบต้องมีการซ้อม การเตรียมตัวยังไงบ้าง

หลายคนอาจจะคิดว่าอาชีพนายแบบมันง่าย ก็แค่เดินไปเดินมา อะไรแบบนี้ใช่ไหมครับ แต่จริง ๆ มันไม่ง่ายเลยนะ ไม่ใช่ว่าทุกคนจะทำได้ มันต้องรู้จังหวะ รู้จักการโพส การเทิร์น ต้องรู้จักเรื่องเสื้อผ้า เพราะว่านายแบบไม่ใช่แค่คนคนหนึ่งที่ใส่เสื้อสวย ๆ แล้วเดินไปเดินมา การเป็นนายแบบ สิ่งที่สำคัญคือบุคลิกภาพของเรา นายแบบเป็นเหมือนกับไม้แขวนเสื้อของแบรนด์เสื้อผ้า ถ้าไม้แขวนเสื้อบิดเบี้ยวก็ไม่สามารถใส่เสื้อแล้วออกมาดูสวยได้

สำหรับนิก อาชีพนี้จำเป็นต้องมีการเรียน ซึ่งก่อนนิกจะเป็นนายแบบก็ต้องเรียนมาก่อน เรียนการเดิน บุคลิกภาพ แม้แต่มารยาทบนโต๊ะอาหาร การเข้าสังคม การทักทาย การไหว้ เพราะจริง ๆ นิกเป็นคนที่ไหว้ไม่สวยหรอก (หัวเราะ) หรือแม้แต่การเรียนบุคลิกภาพ มันก็จะทำให้เรารู้ว่าจะต้องหันหน้ายังไงให้ออกมาดูสวย ดูไม่เก้ ๆ กัง ๆ ทำให้คนสนใจและอยากซื้อเสื้อผ้าแบรนด์ที่เรากำลังนำเสนอ

อีกอย่างที่ต้องเรียนแล้วคนไม่ค่อยรู้ก็คือเรื่องจังหวะ ตอนเรียน ครูก็จะเปิดเพลงให้เราฟัง แล้วก็ให้เราพยักหน้าเพื่อฟังจังหวะว่าเราจะต้องลงเท้าจังหวะไหน ตึก ๆๆๆ ตามจังหวะดนตรี

แล้วปกตินายแบบแฟชั่นก็จะมีหลายสายอีก เช่นสายประกวด หรืออย่างนิกที่เป็นสายแฟชั่นโชว์ ซึ่งปกติสายแฟชั่นโชว์เวลาเดินก็จะไม่ยิ้ม อย่างที่นิกบอกแหละครับว่า เราต้องทำหน้าที่เป็นไม้แขวนเสื้อ เป็นคนโปรโมตเสื้อผ้าให้กับแบรนด์ เราไม่ได้มาขายตัวเอง

นิก กัคช์ Madan #เด็กดัน Nick Gaksch
แม่ของคุณได้แนะนำคุณเกี่ยวกับอาชีพนายแบบ ในฐานะที่เป็นนางแบบมืออาชีพบ้างไหม

คุณแม่จะแนะนำเรื่องของการวางตัวมากกว่าครับ เพราะแม่รู้ว่าเวลาแม่สอน เราจะไม่ค่อยฟัง เพราะเราจะตั้งใจฟังคนอื่นมากกว่า เขาเลยจะเน้นสอนเรื่องการวางตัวในอาชีพอะไรทำนองนี้มากกว่า เช่น เรื่องการตรงต่อเวลา มารยาท และเรื่องอายุ เช่นเรื่องอายุงาน บางคนอาจจะรู้สึกว่าคนที่อายุงานมากกว่า ไม่ต้องแคร์คนที่อายุงานน้อยกว่าหรอก แต่คุณแม่จะบอกว่าสิ่งนี้มันไม่จริง ต่อให้ใครจะอายุมากกว่าเราก็ต้องไหว้เขา ใครอายุน้อยกว่าก็ต้องให้ความเคารพเขา

คุณแม่จะห่วงเรื่องนี้เรื่องเดียวเลยครับ เพราะว่าเขาผ่านงานในวงการมาเยอะ เขาจะรู้ว่าการมาสายเป็นเรื่องที่ไม่ดีเขาก็เลยจะเน้นเรื่อง เวลา มารยาท ความเคารพ เป็นพิเศษ อีกอย่างที่คุณแม่ทำให้ก็คือ เวลาที่นิกไปทำงาน คุณแม่ก็จะคอยให้ฟีดแบ็ก แนะนำว่าต่อไปควรจะทำหน้าแบบนี้ เดินแบบนี้ดีกว่านะ ดูคลิปย้อนหลังแล้วแนะนำว่าควรจะเดินแบบนี้ดีกว่า อะไรทำนองนี้ครับ

คุณมีนายแบบหรือนางแบบในดวงใจบ้างไหม

เรื่องนี้ค่อนข้างอ่อนไหวหน่อยนะครับ แต่นิกจะมีนายแบบรุ่นพี่คนหนึ่งที่เป็นไอดอลของเราเลย เป็นนายแบบคนไทยลูกครึ่งญี่ปุ่น ชื่อพี่เคนโด้ (กุลภัทร พงศ์ประภาพ) เคยถ่ายรูปด้วยกันลงใน Instragram ด้วย แต่พี่เขาเสียไปแล้วครับ มีข่าวอยู่เหมือนกัน พูดแล้วขนลุกเลย

คือนิกชอบพี่เขามาก ก่อนที่จะเริ่มเป็นนายแบบ นิกบอกแม่ว่าชอบพี่เขามาก ๆ นิกจะชอบบอกกับแม่ตลอดว่า อยากเดินแบบ อยากทำงานกับพี่คนนี้ แล้วพอเป็นนายแบบ เราก็เจอกับพี่เขาบ่อยมาก แต่ไม่ได้มีโอกาสเข้าไปทัก อยากไปถ่ายรูปด้วย แต่ว่าไม่กล้า เพราะว่าเขาอาจจะไม่ได้ดังมาก แต่เขาก็เป็นเหมือนไอดอลที่เราติดตามงานของเขามาตลอด แล้วก็ได้ไปแคสต์งานเดียวกับพี่เขาหลายครั้งมาก น่าจะ 20 ครั้งเลยมั้ง แต่เราไม่เคยได้งานเลย แต่พี่เขาได้งานตลอด ใกล้ชิดเขาบ่อยมาก แต่เราไม่กล้าคุย เพราะว่าเราเขิน

จนมีงานหนึ่งที่เราไปแคสต์เมื่อปี 2018 เป็นงานเดินแบบที่มี 3 แบรนด์ แล้วปรากฏว่าได้ และได้ทำงานกับพี่เขา และได้เดินแบบของแบรนด์เดียวกันด้วย ดีใจมาก โคตรดีใจเลย จนเอาไปเล่าให้แม่ฟังว่า เดี๋ยวจะได้เจอกันแล้วนะ พอถึงวันจริง เราก็พยายามจะเข้าไปตีซี้ เข้าไปบอกว่าเราชอบพี่เขามากนะ แต่ว่าเราก็ต้องวางมาดเป็นนายแบบด้วย ก็เลยไม่กล้าเข้าไปพูดอยู่ดี

จนมีวันหนึ่งเราไป Follow Instragram ของเขาเอาไว้ แล้วเขา Follow เรากลับ ดีใจมาก หลังจากนั้นก็ได้มีโอกาสรู้จัก ได้ทำงานกับพี่เขาอีกหลาย ๆ ครั้ง แล้วก็ได้ไปเที่ยวกัน ขนาดตอนไปเที่ยว ขนาดว่าสนิทในระดับหนึ่งแล้วนะ เราก็ยังพยายามจะบอกเขาตลอดนะว่า พี่คือไอดอลในการเดินแบบ การถ่ายโฆษณาของเรา แต่ว่าไม่มีโอกาส เพราะเราเองก็เขินน่ะ เพราะเราก็ต้องวางมาดว่าเป็นนายแบบท่านหนึ่ง (หัวเราะ) เขาเป็นนายแบบคนเดียวที่เราชอบ แล้วก็ไม่ชอบนายแบบคนไหนเลย

เขาเป็นคนเดียวที่เราชื่นชอบและยึดเขาเป็นแบบอย่างในเรื่องของการทำงาน แต่สุดท้ายก็ไม่มีโอกาสได้บอกพี่เขา แต่คนรอบข้างนิกจะรู้หมดเลยนะครับ เพราะว่านิกจะบอกทุกคนว่าชอบพี่เขามาก ทุกวันจนถึงตอนนี้ เวลาไปทำงานหรือไปไหน นิกยังพิมพ์บอกพี่เขาตลอดว่า วันนี้มาทำงานนะ หรือถ้าไปเที่ยวหรือไปที่ไหนที่พี่เขาเคยไปก็จะถ่ายรูปส่งให้ดูว่า พี่ นิกไปที่นี่มานะ หรือไปแคสต์งานไหนก็จะบอกว่า ขอให้นิกได้งานนี้นะ นิกเปิดให้ดูได้เลยนะว่าพิมพ์จริง ๆ เหมือนเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ประจำตัวนิกไปแล้ว ยิ่งพูดก็ยิ่งเสียใจนะ เพราะว่าพี่เขาก็จากเราไปแล้ว

เป้าหมายในอาชีพการเป็นนายแบบของคุณคืออะไร

นิกอยากทำงานกับแบรนด์ต่างประเทศครับ ได้เดินแบบใน Fashion Week ดัง ๆ ที่ต่างประเทศ เพราะนิกรู้สึกว่าในไทยยังไม่ค่อยให้ความสำคัญกับแฟชันมากนัก เหมือนเป็นแค่คนกลุ่มเล็ก ๆ ที่ชื่นชอบในเรื่องนี้ นิกก็เลยอยากลองไปแคสต์งานกับแบรนด์ต่างประเทศ อยากร่วมงานกับทีมงานมืออาชีพ อยากเป็นให้คนรู้จักเราว่า นิก กัคช์ คือนายแบบท่านหนึ่ง นิกไม่ได้อยากเป็นนักแสดง ดารา หรืออะไรเลยนะครับ อยากให้คนรู้จักนิก ที่วงเล็บว่าเป็นนายแบบ แค่นั้นเลยครับ

ซึ่งจริง ๆ ก็ถือว่ามาถึงเป้าหมายได้ในระดับหนึ่งแล้วนะครับ เพราะว่าก่อนหน้านี้นิกเคยได้ไปเดินแบบกับแบรนด์ Louis Vuitton ที่มาเปิดแคสต์ในไทย แล้วนิกก็ได้เป็นหนึ่งในนายแบบที่เดินแบบในคอลเล็กชันสุดท้ายของ เวอร์จิล แอบโล (Virgil Abloh) ที่เป็นดีไซเนอร์พอดี มันก็เลยเหมือนกับว่าเราไม่ต้องไปหาโอกาส แต่โอกาสบินมาหาเราถึงเมืองไทยเลย และทีมงานที่ทำงานก็เป็นมืออาชีพจริง ๆ จากต่างประเทศ ก็เลยเป็นเหมือนกับอีกก้าวสำคัญในอาชีพของเราที่ทำอยากให้เราไปได้ไกลมากกว่านี้

จุดเริ่มต้นของการเป็นทาเลนต์กับทาง Madan เริ่มต้นมาจากไหน

จุดเริ่มต้นคือ นิกมีญาติ ก็คือคุณลุงที่ทำงานอยู่ใน beartai ครับ แล้วคุณลุงก็มาแนะนำว่า beartai กำลังจะทำสื่อบันเทิง แล้วก็เห็นว่าเราน่าจะเข้ากับ Madan ได้ ก็เลยลองเข้ามาคุยครับ ตอบแรกที่มาคุยกันก็เลยลองถามดูว่า Madan คืออะไร และกำลังต้องการอะไร เพราะถ้ามันไม่ตรงกันกับเรา เราก็คงไม่ได้อยากทำงานด้วย แต่พี่เขาอธิบายว่า Madan เป็นสื่อที่เกี่ยวกับบันเทิง 100% เกี่ยวกับพวกซีรีส์วาย แต่ตอนนั้นนิกก็ยังไม่รู้นะครับว่าซีรีส์วายคืออะไร แค่ได้ยินว่าเป็นบันเทิง แล้วอีกอย่างคือ เราชอบสายบันเทิงอยู่แล้วด้วย ก็เลยน่าจะตรงกับเรา และคิดว่านี่อาจจะเป็นใบเบิกทางอีกอันหนึ่งของเราก็ได้ เพราะว่าตอนประกวดเราเองก็ยอมรับว่าไม่ค่อยประสบความสำเร็จเท่าไหร่ เราก็เลยตกลงมาทำงานด้วยกันครับ

นิก กัคช์ Madan #เด็กดัน Nick Gaksch
คุณเองบอกว่าไม่รู้จักสายวาย ต้องมีการเตรียมตัว ทำความรู้จักเป็นพิเศษมากแค่ไหน

จริง ๆ นิกเริ่มต้นศึกษาตั้งแต่วันแรกที่เข้าไปคุยกับทางทีม Madan นั่นแหละครับ ก็คือพอกลับบ้านปุ๊บก็มานั่งดูเลย นั่งศึกษาว่าซีรีส์วายคืออะไร ซึ่งมันก็คือ Boy’s Love นั่นแหละ เป็นซีรีส์ที่มีพระเอกกับนางเอกเป็นชาย-ชาย แล้วนิกก็นั่งดูซึรีส์เลยครับ นั่งดูประมาณ 20 เรื่องได้ เยอะมาก เพราะว่าพอเรามี Passion ที่อยากจะทำกับที่นี่แล้ว เราก็ต้องศึกษาเยอะหน่อย เรารู้แหละว่ามันมีความรักแบบชาย-ชาย แต่เราอาจจะยังไม่เข้าใจว่าซีรีส์แนวนี้มันเป็นอย่างไรบ้าง

ถึงได้รู้ว่าจริง ๆ ซีรีส์แนว ๆ นี้มันมีหลายแบบมาก แต่ละเรื่องไม่เหมือนกันเลย นิกต้องนั่งทำการบ้านกับซีรีส์แต่ละเรื่องว่ามันเกี่ยวกับอะไร จะสื่ออะไรบ้าง อย่างเช่นเรื่อง โซตัสเอสเดอะซีรีส์ (SOTUS S The Series) ที่เป็นคู่ คริส-สิงโต (พีรวัส แสงโพธิรัตน์ – ปราชญา เรืองโรจน์) นิกก็ต้องนั่งจดว่าเรื่องเป็นอย่างไร ตัวละครเป็นอย่างไร อย่างเช่นเรื่องนี้มันก็จะเกี่ยวกับความรักของรุ่นพี่กับรุ่นน้อง

ตอนแรกที่ไปทำงานกับทาง Madan ก็มีการถามเลยครับว่าได้ไปดูเรื่องไหนมาบ้าง นิกก็เลยบอกไปว่าดูมา 20 เรื่อง อยากรู้เรื่องไหนตอบได้หมด

งั้นถามได้ไหมว่า ใน 20 เรื่อง คุณชอบเรื่องไหนมากที่สุด หรือชอบคู่ไหนเป็นพิเศษ

(นึกนาน) ชื่ออะไรนะที่หวังอี้ป๋อเล่น…ปรมาจารย์ลัทธิมาร เป็นเรื่องที่ชอบที่สุดก็เพราะว่า…พูดแล้วเขิน (หัวเราะ) มันจะมีปมให้เราสงสัยว่าเขาชอบกันจริง ๆ หรือเปล่า หรือเป็นแค่เพื่อนกัน พูดไม่ถูกครับ อยากให้ไปดู (หัวเราะ) ด้วยตัวเรื่องที่ตัวละครหนึ่งจะมีความนิ่งขรึม อีกคนจะร่าเริง มันก็เลยทำให้ดูออกยากว่าเขาชอบกันจริง ๆ ไม่ใช่แนววาย 100% เป็นซีรีส์ที่คนดูต้องตีความว่าเป็นแนววายหรือไม่ใช่

ยังไม่ได้ถามเลยว่า คุณมีบทบาทอะไร ทำอะไรกับทาง Madan บ้าง

หลัก ๆ เลยก็คือเป็นพิธีกรครับ เป็นคนดำเนินรายการ ก็จะมีรายการที่ชื่อว่า เด็กดัน จะเป็นการไปตะลุยเบื้องหลังการถ่ายแบบ Madan of the month ของนักแสดงแนววายแต่ละคู่ที่มาถ่ายแบบ หน้าที่ของนิกก็คือ ไปซอกแซก ไปคุยกับนักแสดงว่ามาทำอะไรบ้าง เก็บภาพเบื้องหลังมาฝากแฟนคลับ และอีกพาร์ตก็คือเป็นการโชว์สกิลของตัวเองครับ เช่น รีวิวการถ่ายแบบกับกล้องเด็ก หรือพวกสกิลการถ่ายแบบ ถ่ายแฟชั่นของตัวเราเอง

นิก กัคช์ Madan #เด็กดัน Nick Gaksch
อะไรคือความสนุกที่สุดในการทำงานกับ Madan

การทำงานกับ Madan สำหรับนิกเป็นอะไรที่แปลกใหม่ครับ เพราะว่านิกต้องคิดเลยว่าจะต้องทำอะไรบ้าง ต้องมีสคริปต์ ต่างจากงานเดินแบบที่จะฟรีหน่อย อยากทำอะไรก็ทำได้เลย แต่ตอนทำงานกับ Madan จะเป็นการทำงานที่มีความเป็นระบบมากขึ้น โดยเฉพาะเรื่องเวลาที่สำคัญมาก เพราะว่าศิลปินแต่ละคนที่มาถ่ายแฟชันกับ Madan เขามีคิวเวลาให้เราจำกัด ทุกอย่างเลยต้องล็อกเวลาไว้หมดว่าต้องทำอย่างไรบ้าง ตามแผนที่วางไว้

แต่ว่าพี่ ๆ ทีมงานทุกคนก็จะคอยช่วยเหลือนิก เพราะนิกเองก็ใหม่มากในด้านการเป็นพิธีกร ทุกการถ่ายทำจะไม่มีใครทิ้งนิกไว้คนเดียวเลยครับ จะมีพี่ ๆ คอยแนะนำตลอดว่าควรทำหรือไม่ควรทำอะไร หรือควรจะทำแบบไหนดีกว่าที่คนดูน่าจะชอบ ซึ่งเป็นอะไรที่น่ารักมาก ทุกครั้งที่มาทำงานก็เลยจะเหมือนเป็นการทำงานกับเพื่อน และทุกครั้งที่ทำงานก็จะไม่เกร็ง สบาย ๆ

แน่นอนว่าแฟนคลับที่ตามศิลปิน ก็ย่อมต้องเห็นคุณด้วย ฟีดแบ็กของพวกเขาที่มีต่อคุณเป็นอย่างไรบ้าง

ด้วยความที่ปกติแฟนคลับของศิลปินก็มักจะมีเยอะมากใช่ไหมครับ เขาเองก็มีความรัก มีความอยากจะปกป้องศิลปิน ไม่อยากให้ศิลปินมีตำหนิ ทุกครั้งที่เราทำงานก็เลยจะมีความกดดัน มีความกลัวว่า ถ้าเราพูดอะไรไป แฟนคลับเขาจะโกรธไหม เพราะว่าความรักระหว่างแฟนคลับกับศิลปินมันก็เป็นอะไรที่ละเอียดอ่อนมาก นิกกลัวว่าจะพูดอะไรไม่ดี หรือพูดอะไรไม่เข้าหูแฟนคลับ และเขาก็อาจจะไม่ชอบเรา

ซึ่งฟีดแบ็กจะมีมาตั้งแต่ช่วงแรก ๆ ที่เป็นพิธีกรตอน Live ถ่ายแฟชันครับ ตอนนั้นคือคู่ของ ซี-นุนิว (พฤกษ์ พานิช-ชวรินทร์ เพริศพิริยะวงศ์) ซึ่งนิกเองไม่เคยมีประสบการณ์ในการเป็นพิธีกรรายการสดมาก่อน ก็เลยตื่นเต้นมาก พี่ ๆ ทีมงานก็จะคอยบรีฟว่าต้องพูด ต้องถามประมาณไหน รูปแบบการ Live เป็นอย่างไร และก่อนจะ Live ปกตินิกก็จะทำการบ้านมาก่อนว่า ศิลปินคนนั้น ๆ เขาทำอะไรมาบ้าง มีผลงานอะไรมาก่อน เราจะได้พูดกับเขาได้อย่างไหลลื่น

พอจบปุ๊บ มันจะมีแฮชแท็กที่ใช้ตอน Live ใช่ไหมครับ นิกก็มานั่งส่องแฮชแท็ก ซึ่งแฟนคลับเขาก็บอกกันว่า เป็นพิธีกรที่พูดดีมาก อยากให้เรามาเป็นพิธีกรงานแฟนมีตบ้าง แล้วก็มีข้อความหนึ่ง ยาวมาก เขาเขียนประมาณว่า เขาชอบพิธีกรคนนี้ เพราะว่าให้เกียรติและเคารพศิลปิน ให้ศิลปินได้มีโอกาสพูด ซึ่งข้อความเหล่านี้เป็นพลังบวกให้เรามาก ๆ จากที่เรากลัวว่าแฟนคลับจะต่อว่าเรา ถ้าเราพูดอะไรทึ่ไม่เหมาะสมออกไป พอได้รับคำชม เราก็รู้สึกว่า เราเองก็ทำได้นี่นา

ถ้าเกิดคุณมีด้อมแฟนคลับของตัวเอง คุณอยากตั้งชื่อด้อมว่าอะไร

อยากตั้งชื่อต้อมว่า สายฟ้า เพราะว่านิกเป็นคนที่ชอบอีโมจิรูปสายฟ้า ชอบวาดรูปสายฟ้าตามที่ต่าง ๆ แล้วก็มีรอยสักรูปสายฟ้าด้วย ก็เลยอยากตั้งชื่อด้อมของตัวเองว่าด้อมสายฟ้า และมีสีประจำด้อมคือสีเหลือง

คำถามสุดท้าย ถ้าคุณได้มีโอกาสคิดคอนเทนต์ให้กับ Madan และให้คุณเป็นโฮสต์ให้กับคอนเทนต์นั้น ๆ คุณอยากทำอะไรมากที่สุด

อยากทำคอนเทนต์เกี่ยวกับสัตว์เลี้ยงครับ เพราะว่านิกรู้สึกว่าเดี๋ยวนี้นิกชอบหมา แต่ถ้าอยากให้มันเข้าธีมของ Madan จริง ๆ ก็อาจจะมีสักเดือนที่ให้ศิลปินมาถ่ายแบบคู่กับสัตว์เลี้ยงของเขา เพราะว่าตอนนี้นิกกำลังทำโครงการเกี่ยวกับน้องหมาอยู่ด้วย ชื่อว่าสองเท้าสี่ขา ก็เลยอยากทำคอนเทนต์อะไรก็ตามที่เกี่ยวกับน้องหมา เพราะว่าพี่ ๆ ศิลปินเองก็ถือว่าเป็นกระบอกเสียงที่ใหญ่ ก็เลยอยากให้เขาถ่ายแบบกับสัตว์เลี้ยง แล้วก็อาจจะมีสกู๊ปเล็ก ๆ ว่าเขาดูแลสุนัขอย่างไร หรือถาม Topic ต่าง ๆ ที่เกี่ยวกับสัตว์เลี้ยง อะไรแบบนี้ครับ


พิสูจน์อักษร : สุชยา เกษจำรัส