From Software ได้สร้างผลงานที่พลิกโฉมวงการเกมทั่วโลกอย่าง “Dark Souls” เอาไว้เมื่อหลายปีที่แล้ว บางคนอาจจะบอกว่า Demon’s Souls ต่างหากที่เป็นผู้ริเริ่ม แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่า Dark Souls คือเกมที่ทำให้ผู้คนทั่วโลกได้รู้จักกับเกมแนวนี้ และนั้นก็คือจุดเริ่มต้นของแนวเกมใหม่ที่กำเนิดขึ้นมาที่เรียกว่า “Souls-like Game”

ผลงานจาก From Software เหล่า Souls-Like Game

และแล้วอยู่มาวันหนึ่ง Sekiro: Shadows Die Twice ได้เปิดตัวอย่างเป็นทางการ กลางงาน E3 2018 แน่นอนว่าทั้งตัวผม และแฟนๆ Dark Souls ทุกคนถึงกับร้องดีใจออกมา เพราะการกลับมาครั้งนี้ From Software ได้ออกมาเคลมเลยว่า Sekiro นั้น มันจะมีความยากยิ่งกว่าเกมที่พวกเขาเคยทำมาทั้งหมด และมันจะเป็น “เกมใหม่” ที่แตกต่างจาก Dark Souls , Bloodborne อย่างแน่นอน

ตัวผมเองได้มีโอกาสทดลองเล่นเกมนี้อยู่ 2 ครั้ง โดยในครั้งแรกผมได้ลองเล่น Demo สั้นๆ เป็นเวลา 15 นาที ณ งาน Taipei Game Show 2019 และครั้งล่าสุดที่ได้ลองเล่นในงาน Media Preview Event ของ Sony Playstation ที่ได้เปิดให้สื่อเข้าไปทดสอบเกมใหม่ก่อนวางจำหน่าย โดยงานนี้เพิ่งจัดมาเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2019 ที่ผ่านมา

Play video

ภายใน Demo นั้นพูดตามตรงมันก็คือตัวเกมเต็มดีๆนี่เอง แต่จะมีการตัดลดเนื้อเรื่องไปบ้างเล็กน้อยเพื่อป้องกันการสปอยล์ ผมมีเวลาเล่นทั้งหมด 2 ชั่วโมงเต็ม โดย 1 ชั่วโมงที่เหลือก่อนหมดเวลา ทีมงานจะเข้ามาโหลด Save ช่วงกลางๆเกมให้เพื่อทดสอบฟีเจอร์ของเกมทั้งหมด และวันนี้ผมจะมาบอกเล่าถึงประสบการณ์อันล้ำค่าที่ได้มาจาก Sekiro Shadows Die Twice กันครับ

“ก่อนที่เราจะเข้าบทความ Preview ต้องขอขอบคุณ Sony Interactive Entertainment ที่ให้เกียรติเชิญพวกเราเข้าไปทดสอบตัวเกมครับ”


Yes, indeed


Sekiro Shadows Die Twice ได้นำเสนอมุมมองที่แตกต่างออกไปจากเกมก่อนๆในค่าย โดยครั้งนี้เราจะได้รับบทเป็นนินจานักฆ่าผู้ที่มีบทบาท และมีคาแรคเตอร์เป็นของตัวเอง แตกต่างจากเกมก่อนๆที่เราจะได้รับบทเป็นตัวของเราเอง โดยจุดเด่นอีกอย่างของ Dark Souls หรือ Bloodborne ก็คือผู้เล่นต้องสร้างเรื่องราวของตัวเองผ่านการกระทำ และการตัดสินใจตลอดทั้งเกม ส่งผลให้ตัวเกมมีฉากจบหลายแบบ รวมไปถึงความสัมพันธ์กับ NPC ด้วยนั้นเอง

ใน Sekiro เองก็ไม่ค่อยแตกต่างจากเกมก่อนๆสักเท่าไรนัก แต่อย่างที่บอกว่าครั้งนี้เราจะได้รับบทเป็นตัวละครๆหนึ่ง เพราะฉะนั้นเราก็จะได้เห็น “มุมมอง” ของระหว่างตัวเอก และตัวละครอื่นๆเยอะมากยิ่งขึ้น เราจะได้รับรู้เรื่องราวของตัวเอกผ่านการเล่นและการตัดสินใจของเรา

ถ้าจะอธิบายกันง่ายๆ ก็เปรียบเสมือนเป็นเกม Single Player เกมหนึ่ง ที่มีเนื้อเรื่องรอให้ผู้เล่นเข้าไปค้นหา และการตัดสินใจของตัวผู้เล่น ก็จะส่งผลถึงตัวเอกนั้นแหล่ะครับ

Sekiro จะนำพาผู้เล่นเข้าสู้ประเทศญี่ปุ่น ยุคเซ็งโงกุ สิ่งที่หน้าสนใจยิ่งกว่านั้น ก็คือการที่ตัวเกมนำเรื่อง “ศาสนา” และ “ความเชื่อ” เข้ามาเกี่ยวข้องด้วยนั้นแหล่ะครับ ตัวเกมจะไม่ได้มีความเป็น Dark Fantasy แบบ Dark Souls หรือ Bloodborne ที่ทุกสิ่งทุกอย่างในโลกของเกมนั้นๆ ดูยังไงก็รู้ว่าเป็นเรื่องที่ไม่มีทางเกิดขึ้นในโลกของเราได้ แต่ใน Sekiro นั้น ตัวเกมได้มีความ “สมจริง” ในแง่ของความเป็นได้ที่จะเกิดขึ้นในโลกของเรา

ยกตัวอย่างเช่น ศัตรูภายในเกมนี้ มันก็เป็นพวกนักฆ่า ซามูไร ที่เป็นคนทั่วๆไป หรือจะเป็น พระสงฆ์ เพิ่มเติมเข้าไปคือการที่พระเหล่านี้ สามารถใช้เวทมนต์หรือวิชาต่อสู้ตามตำราของนิยายญี่ปุ่นในยุคเซ็งโงกุได้ แน่นอนว่าต้องมีพวกปีศาจญี่ปุ่นอย่าง “Oni” เข้ามาด้วย แต่สิ่งทีผมชอบที่สุด ก็คือการที่ทุกสิ่งทุกอย่างภายในเกมนี้ มีที่มาที่ไป และมีเหตุผลรองรับอยู่เสมอ

การที่ตัวเอกของเรา ตายแล้วสามารถเกิดใหม่อีกครั้งหนึ่งได้ตามที่เราเห็นในตัวอย่างเกม หรือตายแล้วกลับจุดเกิด โดยในเกมนี้ “ศาลพระภูมิ” จะทำหน้าที่เป็นเหมือน Bonfire ให้เรา และอย่างที่ผมบอกไปว่า มันมีที่มาที่ไป ว่าทำไมตัวเอกของเราถึงมีความสามารถที่เมื่อตายไปแล้ว ก็สามารถเกิดใหม่ได้

สิ่งหนึ่งที่ผมรู้สึกเข้าถึงมันมากๆ ก็คือการที่ตัวเกมนั้นเอาหลักความเชื่อของหลัก ศาสนาพุทธในประเทศญี่ปุ่น เข้ามาเกี่ยวข้องอย่างจริงจัง โดยถ้าหากผมพูดถึงมันไปมากกว่านี้ ก็อาจจะเป็นการสปอลย์ตัวเกมได้ครับ


Gameplay & Graphics


ผมเคยคิดอยู่เสมอ ตั้งแต่ที่เกมนี้เปิดตัวว่า Sekiro ก็น่าจะเป็น Dark Souls เวอร์ชั่นญี่ปุ่น แบบที่เกมอย่าง Nioh เคยทำ ซึ่งมันก็ออกมาดูดี และผมก็สนุกกับเกมนั้นมากๆ แต่ลึกๆในใจก็หวังว่า From Software น่าจะสร้างอะไรใหม่ๆขึ้นมาจากที่พวกเขามีอยู่แล้วได้

และในที่สุดที่ผมหวังไว้มันก็กลายเป็นจริง Sekiro ได้มอบประสบการณ์เล่นที่แปลกใหม่ แน่นอนว่ารูปแบบการเล่นมันก็ยังคงเป็น Souls-like Game อยู่เหมือนเดิมนั้นแหล่ะ หลังจากงานที่ผมได้ลองเล่น Demo Sekiro เสร็จ ผมกลับมาที่บ้านและลองเปิด Dark Souls 3 เล่นดู ก็รู้ทันทีเลยว่า นี่มันให้ความรู้สึกแบบไม่เหมือนกันเลย แตกต่างจากเกมก่อนๆอย่าง Dark Souls, Bloodborne ไปโดยสิ้นเชิงครับ

อย่างแรกที่รู้สึกได้เลย ก็คือตัวเกมมันไวกว่าเดิมมาก ผมต้องใช้เวลาปรับตัวอยู่บ้าง โชคดีที่การบังคับนั้นค่อนข้างจะเหมือนกับเกมก่อนๆ เปิดมาตัวเกมจะนำเสนอระบบการ Stealth ที่เหมือนจะเป็นจุดเด่นของเกมนี้ไปเลย ผู้เล่นสามารถใช้พวกพุ่มหญ้าในการพลางตัว และสามารถกระโดดขึ้นหลังคา หรือห้อยตัวจากหน้าผาได้อีกด้วย

เมื่อได้อาวุธมาแล้ว ตัวเกมก็เข้าสู้โหมด Action เต็มตัว ผมกล้าพูดเลยว่าการ Action ของเกมนี้ ไม่ได้น้อยหน้าไปกว่าเกมอย่าง Devil May Cry เลยสักนิด บอกลา Stamina ไปได้เลย เพราะ Sekiro ได้ตัดระบบนั้นออกไปแล้ว ผู้เล่นจะสามารถโจมตีศัตรูรัวๆแค่ไหนก็ได้ หรือจะกระโดด จะกลิ้งตัว(เกมนี้คือการสไลด์ตัว) แถมยังมีของเล่นใหม่อย่าง Grappling Hook มาทำให้ Gameplay มีความลื่นไหลมากกว่าเดิมอีกด้วยครับ

ตัวเกมจะมีเกจ “Posture Bar” ขึ้นมาเป็นเหมือนตัวกำหนดค่าความแข็งแรงของทั้งตัวผู้เล่นเองและตัวศัตรู หากผู้เล่นหรือศัตรูทำการโจมตีเข้ามา ต่างฝ่ายสามารถกด Block ได้ สิ่งที่แตกต่างไปจากเกมก่อนๆ ก็คือการ Block ของเกมนี้ “จะไม่มีความเสียหายต่อตัวละคร” นั้นหมายความว่าเราสามารถ Block ได้ทุกท่า โดยไม่เสียพลังชีวิตเลย

ในการต่อสู้ ถ้าหากศัตรูโดนโจมตีขณะที่มันกำลัง Block เรา แน่นอนว่าเราก็ไม่สามารถสร้างความเสียหายให้มันได้เช่นกัน แต่มันจะทำแบบนั้นได้ไปเรื่อยๆจน Posture Bar หมดหลอด ถึงเวลานั้นศัตรูก็จะหมดแรง และเราสามารถกด Finish ใส่ศัตรูให้ตายในทีเดียวเลย หรือในศัตรูบางประเภทที่มีพลังชีวิตมากกว่า 1 Life Bar ก็ต้องทำ Finish ให้ได้อีกหนึ่งรอบมันถึงจะตายครับ

ในบางครั้ง หากเราสามารถกด Block ให้ตรงกับจังหวะเดียวที่ศัตรูโจมตีเข้ามา เราจะสามารถทำการ Counter Attack เพื่อโจมตีสวนกลับได้อย่างรุนแรงเลยที่เดียว (คล้ายๆกับการ Parry) ในบางครั้งตัวเกมจะแสดง ยันต์ สีแดงขึ้นมาที่ตัวละครในขณะที่ศัตรูกำลังโจมตีเราเข้ามา โดยไอ่ยันต์นี้มันจะสื่อถึงว่าเราสามารถทำการ Counter Attack ศัตรูได้ด้วยวิธีการต่างๆ โดยหนึ่งในนั้นก็คือการใช้อุปกรณ์ใหม่ นั้นก็คือแขนกลนินจา ที่เป็นเหมือนของเล่นใหม่ในเกมแนวๆนี้ครับ

โดยแขนกลนินจานั้น อธิบายง่ายๆมันก็คือพวกอาวุธพิเศษที่เราสามารถใช้ได้ตามยันต์ที่เหลืออยู่ของเรา (หรือจะเรียกว่า MP ก็ได้) เราสามารถเปลี่ยนประเภทอาวุธที่ใช้ได้ตลอดขณะ Pause เกม ประกอบไปด้วย ดาวกระจาย พลุไฟ ขวานยักษ์ โดยสิ่งที่พิเศษคือเราสามารถ Upgrade แขนกลเราได้เรื่อยๆตลอดการเล่นไปทั้งเกม โดยจะปลดล็อคความสามารถใหม่ๆมาเสมอครับ

พูดถึงเรื่อง Pause เกม หากยังจำกันได้ Miyazaki เองเคยออกมาพูดว่า “เราจะได้มีเวลาหยุดเกมเพื่อพักหายใจตลอดการเล่น” และเขาก็พูดจริงๆครับ ตลอดทั้งเกมเราสามารถกด Pause เพื่อเข้าเมนูจัดการตัวละครได้ตลอด ไม่เหมือนกับเกมก่อนๆ ที่ไม่ว่าจะอยู่ในหน้าจัดการตัวละคร หรืออะไรก็ตาม ตัวเกมมันก็ยังไม่หยุดให้ นับว่าเป็นเรื่องที่ดีมากๆ

Grappling Hook เองก็ถือว่าเป็นจุดเปลี่ยนไปเลยเช่นกัน โดยเราสามารถใช้มันได้ตลอดทั้งเกมไม่มีข้อจำกัด และใช้ได้ในทุกสถานการณ์ แต่มันก็ไม่อิสระเหมือน Spider Man แต่เราสามารถใช้มันไปตามจุดต่างๆที่ตัวเกมกำหนดไว้ได้ ในการเล่น Demo ของผมจะมีอยู่ช่วงหนึ่งที่โดนศัตรูมันจับโยนออกนอกฉาก แต่ผมสามารถใช้เจ้า Grappling Hook ดึงตัวเองกลับเข้ามาในฉากได้เหมือนเดิม แถมยังใช้ช่วยในการ Stealth อีกด้วยครับ

ฟังดูอาจจะคิดว่า งั้นแบบนี้เกมก็ง่ายโคตรๆเลยสิ ผมอยากจะบอกว่าคุณคิดผิดมากๆ ด้วยการที่ตัวเกมมันไวขึ้นมากๆ และการตัด Stamina Bar ออก โดยเพิ่ม Posture Bar เข้ามาแทน ทำให้ Gameplay โดยรวมที่เคยคุ้นชินมาใน Dark Souls เปลี่ยนไปเลยทันที

“ในช่วงแรกๆของการเล่น Demo ตัวผมไม่ค่อยกดวิ่ง หรือกดสไลด์หลบบ่อยๆ เพราะกลัวว่า Stamina มันจะหมด ทั้งๆที่มันไม่มี(ความเคยชิน) แต่หลังจากที่ได้เล่นไปสักพัก ก็เริ่มปรับตัวได้ และกลายเป็นชอบมันมากกว่าเดิมด้วยซ้ำครับ”

ในแง่ของความยาก แน่นอนว่ามันยากกว่า Dark Souls และ Bloodborne แน่นอน ใน Sekiro ตัวเกมจะมีความ “คล่องตัว” สูงมากๆ และนั้นก็ส่งผลให้ผู้เล่นเองก็ต้องใช้สกิลการบังคับตัวละครที่สูงกว่าเดิมมากเช่นกัน ตัวเกมยังมีแพทเทิร์นอยู่ของมันเช่นเดิม แต่เพิ่มเติมคือยากกว่า โหดกว่า และว่องไวมากกว่าเดิม

อีกสิ่งหนึ่งที่แตกต่างไปจากเกมก่อนๆ ก็คือในเกมนี้เราไม่สามารถปรับแต่งตัวละครได้ รวมไปถึงการเปลี่ยนใส่อาวุธและชุดเกราะด้วย แต่ตัวเกมจะเพิ่มระบบ Skill เข้ามาแทนที่ครับ โดยระบบสกิลนั้นจะคล้ายๆกับเกม Nioh โดยจะเป็นการเปลี่ยน Moveset ของตัวละครเราผ่านการกดปุ่มผสม หรือ กดปุ่มต่อเนื่องกันนั้นเอง

ตัวเกมยังมีการเก็บค่าประสบการณ์เพื่ออัพ Level อยู่เช่นเดิม โดยในภาคนี้ทั้งค่าประสบการณ์และเงิน จะแยกกันไปเลยครับ (เหมือน Nioh) ถ้าหากผู้เล่นตาย สิ่งที่จะเสียไปก็คือค่าประสบการณ์ แต่ใน Sekiro มันจะมีโอกาสที่เราจะไม่เสียค่าประสบการณ์ตอนตายอยู่ ตามดวงของเรานั้นแหล่ะ (ใช่ครับ อ่านไม่ผิด ดวง)

Sekiro ได้สร้างญี่ปุ่นยุคเซ็งโงกุ ออกมาได้อย่างสวยงามตามมาตรฐานของ From Software ครับ คือมันก็อาจจะไม่ได้สวยอะไรมากขนาดนั้นหากเราเอาไปเปรียบเทียบกับเกมใหม่ๆที่ออกในปี 2019 เช่นกัน แต่มั่นใจได้ว่าคุณจะได้รับประสบการณ์ที่ดีแน่นอน

ใน Demo ที่ผมเล่นมานั้น สิ่งที่ผมเห็นได้ชัด ก็คือตัวเกมค่อนข้างที่จะมี Texture ที่หยาบอยู่ในบางจุด งานแสงสีก็ทำออกมาได้ธรรมดาอยู่มาก โดยความรู้สึกโดยรวมจะออกแนวคล้ายๆกับงานภาพใน Dark Souls 3 แต่เปลี่ยนธีมมาเป็นญี่ปุ่นนั้นแหล่ะครับ


สรุป


Sekiro: Shadows Die Twice คือเกมที่ได้รับรางวัล Game of the Year 2019 จากผมไปทันที่ทีเห็นแล้วครับ ส่วนตัวแล้วผมเป็นแฟนเกมค่าย From Software และแน่นอนเป็นแฟนเดนตายของสุดยอดเกมอย่าง Dark Souls มาตลอด Sekiro ได้มอบประสบการณ์ที่ยอดเยี่ยมให้ผมหลังจากที่เจ็บซ้ำกับหลายๆเกมใหม่ตั้งแต่เริ่มปี 2019

ถึงแม้ว่าจะมีเวลาเล่นเพียงแค่ 2 ชั่วโมง + 15 นาที แต่แค่นี้ก็เพียงพอสำหรับผมแล้ว และอดใจรอไม่ไหวจนกว่าถึงวันที่ 22 มีนาคมนี้ ก่อนที่จะปิดท้ายบทความ หลายๆคนคงรู้กันแล้วว่า Sekiro เป็นเกม AAA อีกหนึ่งเกม ที่ได้รับการแปลเป็นภาษาไทยทั้งเกม และผมขอย้ำว่า ทั้งเกม จริงๆ ไม่ได้มาแค่ซับไทยครับ งานแปลก็ทำออกมาได้ดีมากๆ ไม่มีอะไรน่าติสักเท่าไร

คำถามที่เกิดขึ้นในใจหลายๆคน ก็น่าจะเป็นเรื่องการที่ตัวเกมมันยาก แล้วคนทั่วๆไปที่ไม่ได้ชอบเกมแนวนี้จะเข้าถึงมันไหม จริงๆคำตอบของคำถามนี้ ผมเคยให้ไว้แล้วใน Review Dark Souls Remaster ผมสรุปไว้ว่า

“นิยามของคำว่า ยาก ในเกมแนวนี้ มันไม่ได้หมายความว่าเกมมันเล่นยาก แต่มันเป็นความยากในใจเรา ที่ต้องเอาชนะศัตรูในเกมให้ได้ครับ”

Sekiro: Shadows Die Twice กำลังจะวางขายพร้อมกันทุก Platform ในวันที่ 22 มีนาคม 2019 นี้ แน่นอนว่าทาง Beartai จะมารีวิวให้ได้อ่านกันแน่นอนครับ