การขุดเหรียญคริปโตเป็นกระบวนการที่ต้องใช้พลังงานอย่างมาก ซึ่งเกี่ยวข้องกับการแก้ปัญหาทางคณิตศาสตร์ที่ซับซ้อน เพื่อทำการขุดบิตคอยน์ออกมา ผู้ที่ทำการขุดก็จะได้รับรางวัลเป็นเหรียญสกุลดิจิทัลที่ตัวเองขุดได้

ตามดัชนีการใช้ไฟฟ้าของ Cambridge Bitcoin ระบุว่าการขุดบิตคอยน์ในปี 2020 ใช้พลังงานไป 120 กิกะวัตต์ต่อวินาทีหรือคิดเป็น 63 เทราวัตต์ชั่วโมงต่อปี ส่งผลให้การปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เพิ่มขึ้นอย่างมากจนอาจนำไปสู่ภาวะโลกร้อน และเพื่อที่จะแก้ปัญหาตรงนั้น Microsoft จึงวางแผนพัฒนาระบบขุดคริปโตเคอเรนซี่ด้วยการใช้คลื่นสมองของมนุษย์และข้อมูลไบโอเมตริกซ์ส่วนบุคคลในการขุดเหรียญแทน

สิทธิบัตรดังกล่าวอธิบายถึงระบบการทำงานเอาไว้ว่า ตัวบล็อกเชนจะเป็นเซิร์ฟเวอร์หลักที่การคำนวณข้อมูลต่าง ๆ จะถูกส่งไปยังเซนเซอร์ที่ติดอยู่กับแต่ละบุคคล ซึ่งระบบการขุดจะเป็นการเชื่อมต่ออุปกรณ์เข้ากับเซนเซอร์ต่าง ๆ ในร่างกายที่จะตรวจจับกิจกรรมของผู้ใช้ เพื่อสร้างสกุลเงินดิจิทัลออกมาผ่านเซนเซอร์ โดยอาจจะมาจากเครื่องวัดอัตราการเต้นของหัวใจ เซนเซอร์ความร้อน เครื่องสแกนหรืออุปกรณ์อื่น ๆ ที่สามารถวัดหรือตรวจจับกิจกรรมของร่างกายหรือสแกนร่างกายมนุษย์ได้

เซนเซอร์ดังกล่าวจะพยายามตรวจจับพฤติกรรมของมนุษย์ว่ากำลังทำอะไร เช่น อาจกำลังดูโฆษณาหรือใช้อินเทอร์เน็ตอยู่ และเมื่อมีการกระตุ้นตามที่โปรแกรมได้วางไว้ เซนเซอร์ต่าง ๆ จะเริ่มทำการขุดบิตคอยน์ทันที ขณะที่ผู้ใช้งานจะได้รับเหรียญที่ได้จากการขุดเป็นรางวัลตอบแทน ถ้าระบบตรวจพบว่าผู้ใช้ทำการโกงโปรแกรมที่ตั้งค่าไว้ เซนเซอร์จะหยุดทำงานและไม่สามารถขุดเหรียญต่อได้นั่นเอง

สิทธิบัตรยังอธิบายอีกว่าธุรกรรมทั้งหมดจะถูกบันทึกไว้ในระบบบล็อกเชนที่ออกแบบมาเพื่อจุดประสงค์นี้โดยเฉพาะ ซึ่งอาจเป็นแบบส่วนตัวหรือสาธารณะก็ได้ แต่มันจะเกี่ยวข้องกับการสื่อสารที่ซับซ้อนระหว่างมนุษย์ คอมพิวเตอร์ส่วนกลางหรือเซิร์ฟเวอร์ที่อ่านและประมวลผลข้อมูล ซึ่งจะมีความปลอดภัยในตัวของมันเอง

อ้างอิง1 อ้างอิง2

พิสูจน์อักษร : สุชยา เกษจำรัส