The Terminal ภาพยนตร์ปี 2004 ที่เป็นหนึ่งในหนังโปรดของหลาย ๆ คน เรื่องราวของ นักท่องเที่ยวชาวยุโรปนาม วิกเตอร์ นาวอร์สกี ที่บินมาลงที่สนามบิน เจ.เอฟ.เค กรุงนิวยอร์ก แต่พาสปอร์ตเขามีปัญหาไม่สามารถเข้าสหรัฐฯ ได้ ขณะเดียวกันประเทศบ้านกิดที่เขาจากมา ก็เกิดเหตุการณ์ปฏิวัติทำให้เขาไม่สามารถบินกลับไปได้ จะเข้าสหรัฐฯ ก็ไม่ได้อีก ทำให้เขาต้องติดแหง็กอยู่ในสนามบิน อาศัยคูปองอาหารยังชีพไปวัน ๆ หนังเป็นผลงานกำกับ สตีเวน สปิลเบิร์ก และนำแสดงโดย ทอม แฮงก์ส ตัวหนังประสบความสำเร็จอย่างมาก ทำรายได้ไปมากถึง 219 ล้านเหรียญจากการฉายทั่วโลก จากทุนสร้างเพียง 60 ล้านเหรียญ

แต่ที่จริงแล้วเรื่องราวของ The Terminal นั้นก็ได้รับแรงบันดาลใจจากบุคคลจริง แล้วนำมาดัดแปลงให้เป็นบทภาพยนตร์ที่มีสีสันมากขึ้น ซึ่งบุคคลต้นกำเนิดเรื่องราวนั้น เป็นชาวอิหร่านนามว่า เมห์ราน คารีมี นาสเซอรี (Mehran Karimi Nasseri) ที่ตัวนาสเซอรีนั้นอาศัยอยู่ในสนามบินชาร์ลเดอโกล ณ กรุงปารีส มาเป็นเวลา 18 ปีแล้ว จนกลายเป็นเซเลบ เป็นเหมือนสัญลักษณ์หนึ่งของสนามบิน จนถึงวันเสาร์ที่ 12 พฤศจิกายนที่ผ่านมานี่เอง ทางสนามบินก็ได้ประกาศข่าวอย่างเป็นทางการว่า นาสเซอรีได้เสียชีวิตลงแล้ว สาเหตุจากอาการหัวใจวาย เมื่อเวลาประมาณเที่ยงวัน ที่พื้นที่ 2F อาคารผู้โดยสารภายในประเทศ หลังจากเจ้าหน้าที่และทีมแพทย์พยายามช่วยเหลือนาสเซอรีแล้ว แต่ไม่เป็นผลสำเร็จ

ย้อนความไปถึงที่ไปที่มาของนาสเซอรีนั้น เขาเริ่มปักหลักอาศัยอยู่ในสนามบินชาร์ลเดอโกลมาตั้งแต่ปี 1988 แรกเริ่มเดิมทีนั้น นาสเซอรีไม่สามารถผ่านเข้ากรุงปารีสได้ ด้วยปัญหาทางด้านเอกสาร แต่ภายหลังก็เป็นการลงหลักปักฐานอยู่ในสนามบินด้วยความตั้งใจ นาสเซอรีใช้ชีวิตผ่านไปวัน ๆ ด้วยการนอนบนเก้าอี้บนเก้าอี้พลาสติกสีแดง อยู่จนรู้จักสนิทสนมกับบรรดาเจ้าหน้าที่สนามบิน จนเจ้าหน้าที่ตั้งฉายาให้เขาว่า ‘ท่านลอร์ดอัลเฟรด’ ทางสนามบินอนุญาตให้เขาใช้ห้องน้ำของเจ้าหน้าที่สนามบินได้ กิจวัตรมนแต่ละวันของนาสเซอรีนั้น เขามักจะจดบันทึกไดอารี อ่านนิตยสาร เดินดูนักท่องเที่ยวที่ผ่านไปมา และนักท่องเที่ยวก็ให้ความสนใจเขากันเพราะเขาเป็นคนดังประจำสนามบิน

มุมที่นาสเซอรีปักหลักเป็นที่พักอาศัยในสนามบิน

เมื่อปี 1999 ก็เคยมีนักข่าวไปสัมภาษณ์นาสเซอรี ว่าเขาจะปักหลักอยู่ในสนามบินชาร์ลเดอโกลไปอีกนานเพียงใด
“สุดท้ายแล้วผมก็ต้องไปจากสนามบินครับ แต่ผมก็ยังต้องรอพาสปอร์ตและเอกสารเดินทางให้เรียบร้อยก่อน”
นาสเซอรีให้สัมภาษณ์ด้วยอาการผ่อนคลาย สูบไปป์ไปตอบไป แต่สภาพของนาสเซอรีดูน่าเป็นห่วง ร่างกายดูผอมบองจนแก้มตอบ ผมยาวเส้นบาง ตาลึกกลวง

นาสเซอรีนั้นเป็นชาวอิหร่านโดยกำเนิด เกิดเมื่อปี 1945 ในเมืองโซลีมานที่เป็นอาณานิคมของอังกฤษ เขามีพ่อเป็นชาวอิหร่านและแม่เป็นชาวอังกฤษ เขามาเรียนต่อที่อังกฤษในปี 1974 พอเรียนจบ นาสเซอรีก็กลับมาอยู่ในอิหร่าน เขาเข้าร่วมกลับกลุ่มผู้ประท้วงต่อต้านการปกครองของพระเจ้าชาห์ ทำให้เขาโดนขับไล่ออกนอกประเทศโดยไม่มีพาสปอร์ต

หลังออกมาจากอิหร่าน นาสเซอรีก็สมัครเข้าไปสมาชิกของกลุ่มทางการเมืองในหลายประเทศในแถบยุโรป UNHCR ในเบลเยียมออกหนังสือรับรองให้เขาในฐานะผู้ลี้ภัยทางการเมือง แต่สาเหตุที่เขาไม่สามารถแสดงเอกสารแล้วเข้าฝรั่งเศสได้นั้น นาสเซอรีอ้างว่าเขาใส่หนังสือรับรองไว้ในกระเป๋าเดินทาง แต่โดนขโมยไประหว่างอยู่ที่สถานีรถไฟในกรุงปารีส เขาเคยถูกตำรวจฝรั่งเศสจับกุมตัวครั้งหนึ่ง แต่ก็ไม่สามารถส่งเขาไปยังประเทศใด ๆ ได้เพราะเขาไม่มีเอกสารที่ออกโดยทางการเลย นั่นจึงเป็นสาเหตุให้นาสเซอรีต้องปักหลักอยู่ในสนามบินชาร์ลเดอโกลมาตั้งแต่เดือนสิงหาคม 1988

กิจวัตรของนาสเซอรีคือเฝ้ามองนักท่องเที่ยวผ่านเข้าออกสนามบิน

พอดีกับช่วงนั้น มีความวุ่นวายของระบบราชการในฝรั่งเศสอย่างมาก และทางหน่วยงานตรวจคนเข้าเมืองก็ยกระดับความเข้มงวดขึ้นมาก เลยทำให้นาสเซอรีต้องติดแหง็กอยู่ในสนามบินยาวนานหลายปี แต่ทางการฝรั่งเศสก็ไม่ได้ปล่อยปะละเลยต่อนาสเซอรี ในที่สุดก็มีการออกเอกสารรับรองนาสเซอรีในฐานะบุคคลผู้ขอลี้ภัยทางการเมือง นาสเซอรีตื่นเต้นดีใจเป็นอย่างมาก แต่สุดท้ายด้วยความที่เขาอาศัยอยู่ในสนามบินมานานจนเคยชิน ทำให้เขารู้สึกตระหนกไม่ปลอดภัยที่จะต้องออกไปอยู่ภายนอกสนามบิน แล้วนาสเซอรีก็ตัดสินใจไม่เซ็นรับเอกสารรับรองเขาในฐานะผู้ลี้ภัย แล้วก็เลือกอาศัยอยู่ในสนามบินต่อไปอีกหลายปี จนเขาล้มป่วยและต้องนำตัวส่งโรงพยาบาลในปี 2006 หลังได้รับการรักษาตัวจนหายดี ก็ถูกส่งตัวไปอยู่ในสถานสงเคราะห์

เพื่อน ๆ หลายคนของนาสเซอรีที่เป็นเจ้าหน้าที่ในสนามบินต่างก็เป็นห่วงอาการของนาสเซอรี เพราะว่าการที่เขาต้องอยู่ในสถานที่ปิดทึบไม่มีหน้าต่าง ไม่ได้รับแสงจากภายนอกเป็นเวลานาน ๆ นั้นก็มีผลกระทบต่อสภาพจิตเขาเช่นกัน ปี 1990 แพทย์ประจำสนามบินก็มาตรวจดูอาการของนาสเซอรีแล้วให้ความเห็นว่าทั้งสภาพจิตและสภาพร่างกายของนาสเซอรีไม่สู้ดีแล้ว เพื่อนอีกคนที่เป็นพนักงานขายตั๋วบอกว่า นาสเซอรีนั้นเหมือนเป็นนักโทษที่จองจำตัวเอง ไม่สามารถออกไปใช้ชีวิตนอกสนามบินได้

หลังจากนาสเซอรีไปใช้ชีวิตในสถานสงเคราะห์ตั้งแต่ปี 2006 เป็นต้นมา จนเมื่อสัปดาห์ก่อน นาสเซอรีก็พาตัวเองกลับมาอยู่ในสนามบินชาร์ลเดอโกลอีกครั้ง เหมือนว่าเขารู้ว่าวาระสุดท้ายของตัวเองจะมาถึงแล้ว จึงอยากใช้ชีวิตช่วงสุดท้ายในสถานที่ที่เขาคุ้นเคยและรู้สึกผ่อนคลาย แล้วนาสเซอรีก็ได้จากไปอย่างสงบในสถานที่ที่เขาอบอุ่นใจ

ที่มา ที่มา