ซีเนียด โอคอนเนอร์ (Sinead O’Connor) นักร้องและนักแต่งเพลงชาวไอริชซึ่งเป็นที่รู้จักจากเสียงอันทรงพลังและปลุกอารมณ์ได้จากไปด้วยวัย 56 ปี ซึ่งยังไม่มีการรายงานสาเหตุการเสียชีวิตหรือสถานที่เสียชีวิตอย่างเป็นทางการ

โอคอนเนอร์สร้างชื่อจากเสียงร้องทรงพลังเปี่ยมอารมณ์อันน่าประทับใจในบทเพลง “Nothing Compares 2 U” บทเพลงของ Prince ที่เธอนำมาทำใหม่ในแบบฉบับของเธอ รวมอยู่ในสตูดิโออัลบั้มชุดที่ 2 ‘I Do Not Want What I Haven’t Got’ (1990) บทเพลง “Nothing Compares 2 U” กลายเป็นเพลงฮิตอันดับ 1 ทั่วโลกและได้รับรางวัลแกรมมี่อวอร์ดในปี 1991 ในสาขา Best Alternative Performance  ซึ่งเธอได้ปฏิเสธที่จะรับรางวัลเพราะมองว่ามันมีความเป็น ‘เชิงพาณิชย์มากเกินไป’

ก่อนนี้โอคอนเนอร์เคยถูกเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลแกรมมี่มาก่อน ในปี 1989 เธอได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัล Best Female Rock Vocal Performance จากอัลบั้มเปิดตัว “The Lion and the Cobra” แต่แพ้ให้กับ ‘Tina Live in Europe’ ของ ทีน่า เทอร์เนอร์ (Tina Turner) ผู้เป็นตำนาน ซึ่งเสียชีวิตไปเมื่อไม่นานนี้

จากนั้น 2 ปีต่อมา “Nothing Compares 2 U” ก็ได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลแกรมมี่ถึง 4 สาขา ได้แก่ Record of the Year, Best Pop Vocal Performance—Female, Best Music Video—Short Form และ Best Alternative Music Performance ซึ่งเธอชนะในสาขา Best Alternative Music Performance  เอาชนะ Kate Bush, Laurie Anderson, World Party และ The Replacements แต่เธอกลับปฏิเสธชัยชนะนั้นด้วยเหตุผลที่แน่วแน่

เมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 1991 โอคอนเนอร์ได้ส่งจดหมายถึง Recording Academy โดยให้รายละเอียดเกี่ยวกับคำวิพากษ์วิจารณ์ของเธอว่า “พวกเขา (แกรมมี่อวอร์ด) รับรู้แต่เพียงด้านที่เป็นการค้าของศิลปะ พวกเขาเคารพผลประโยชน์ทางวัตถุ เนื่องจากนั่นคือเหตุผลหลักในการดำรงอยู่ของพวกเขา” เธอกล่าวต่อ Los Angeles Times โดยแสดงทัศนะวิพากษ์ธุรกิจเพลงโดยรวม

“เราจะสื่อสารและช่วยเหลือเผ่าพันธุ์มนุษย์ได้อย่างไร” เธอกล่าวเสริม “เมื่อเราปล่อยให้ตัวเองถูกนำออกจากโลกและอยู่เหนือมัน”

ในขณะที่โอคอนเนอร์ชี้แจงในภายหลังว่าเธอไม่ได้เรียกร้องให้คว่ำบาตรรางวัลแกรมมี่ แต่เธอก็แสดงอย่างชัดเจนว่าเธอจะไม่ขึ้นแสดงในพิธีในวันที่ 20 กุมภาพันธ์ หรือรับรางวัลหากเธอชนะ ซึ่งเธอก็ทำเช่นนั้นจริง ๆ  อีกทั้งยังสร้างแรงขับเคลื่อนให้ศิลปินคนอื่นอีกด้วย ในปีนั้น Public Enemy ถอนตัวจากพิธีมอบรางวัล ในขณะที่ เวอร์นอน รีด (Vernon Reid) มือกีตาร์วง Living Colour ก็สวมเสื้อ ซีเนียด โอคอนเนอร์ เมื่อรับรางวัล Best Hard Rock Performance ของวง

ในวงการดนตรี คงมีศิลปินเพียงไม่กี่คนที่สามารถดึงดูดใจผู้ฟังและมีทัศนะที่ท้าทายบรรทัดฐานทางสังคมไปด้วยดังเช่น ซีเนียด โอคอนเนอร์ ผู้ที่แฟน ๆ สามารถจดจำเธอได้จากบุคลิกที่เข้มแข็ง และท่าทีที่ตรงไปตรงมา เสียงอันน่าหลงใหลของโอคอนเนอร์บุคลิกที่ไม่เกรงกลัว และเนื้อเพลงที่กระตุ้นความคิดทำให้เธอกลายเป็นผู้มีอิทธิพลในวงการเพลง และด้วยความเป็นเธอจึงทำให้วิถีบนเส้นทางดนตรีของเธอเต็มไปด้วยการต่อสู้และความมุ่งมั่นอย่างแรงกล้าที่จะพูดในสิ่งที่เธอคิด

ซีเนียด โอคอนเนอร์ มีชื่อเต็ม ๆ ว่า ซีเนียด มารี เบอร์นาเด็ตต์ โอคอนเนอร์ (Sinéad Marie Bernadette O’Connor) เกิดเมื่อวันที่ 8 ธันวาคม 1966 ที่เมืองดับลิน ประเทศไอร์แลนด์ เติบโตขึ้นมาในครอบครัวที่มีการเลี้ยงดูแบบคาทอลิกที่เคร่งครัด และแม้จะมีความยากลำบากในการใช้ชีวิต เธอก็ยังสามารถค้นพบความรักในเสียงดนตรีตั้งแต่อายุยังน้อย เสียงดนตรีได้พาเธอพบกับความสบายใจและอิสระในการสะท้อนและถ่ายทอดสิ่งที่เธอคิดและรู้สึกผ่านศิลปะ บ็อบ ดีแลน (Bob Dylan), โจนี่ มิทเชลล์ (Joni Mitchell) และ บ็อบ มาร์เลย์ (Bob Marley) คือบุคคลผู้เป็นอิทธิพลทางดนตรีในยุคแรก ๆ ของเธอและมีบทบาทสำคัญในการสร้างสไตล์ที่เป็นเอกลักษณ์ของเธอ โดยเฉพาะเนื้อเพลงที่คำนึงถึงเรื่องราวในสังคม

เมื่ออายุ 15 ปีโอคอนเนอร์ได้ตัดสินใจลาออกจากโรงเรียนและทำตามความหลงใหลในดนตรีของเธอ โดยแสดงร่วมกับวงดนตรีต่าง ๆ ในแวดวงดนตรีไอริช ในปี 1987 เธอออกอัลบั้มเปิดตัวที่มีชื่อว่า “The Lion and the Cobra” ซึ่งนำเสนอเสียงที่ทรงพลังและการเรียบเรียงดนตรีที่แหวกแนว อัลบั้มนี้ได้รับเสียงวิจารณ์ในเชิงบวกและเสียงชื่นชมมากมาย และเป็นรากฐานสำหรับความสำเร็จในอนาคตของเธอ

โอคอนเนอร์ประสบความสำเร็จและโด่งดังไปทั่วโลกในปี 1990 ด้วยผลงานเพลงที่แต่งโดย Prince “Nothing Compares 2 U” ซึ่งบทเพลงนี้ในเวอร์ชันของโอคอนเนอร์ได้มาพร้อมอารมณ์ดิบ เข้มแข็ง บนท่วงทำนองของบทเพลงบัลลาดเปี่ยมอารมณ์ เสียงร้องที่ไพเราะจับใจของโอคอนเนอร์ก้องกังวานอยู่ในโสตสัมผัสของผู้ฟัง ผลักดันให้เพลงนี้ขึ้นสู่อันดับสูงสุดของชาร์ตในหลายประเทศ มิวสิกวิดีโอของเพลงก็เป็นอีกสิ่งที่น่าจดจำ เชื่อว่าใครหลายคนคงจดจำใบหน้าที่เปื้อนน้ำตาของโอคอนเนอร์ซึ่งกลายเป็นภาพลักษณ์และภาพจำที่แฟน ๆ มีต่อเธอ ภาพที่ผสานความเปราะบาง สง่างามและความแข็งแกร่ง

ตลอดเส้นทางดนตรีของเธอ ซีเนียด โอคอนเนอร์ ให้การสนับสนุนและมีส่วนร่วมในการเคลื่อนไหวในประเด็นทางสังคมและการเมืองต่าง ๆ เธอใช้ช่องทางของเธอสื่อสารออกไปอย่างไม่เกรงกลัวเพื่อสร้างความตระหนักรู้เกี่ยวกับประเด็นต่าง ๆ เช่น การล่วงละเมิดเด็ก สิทธิสตรี และการปฏิบัติที่ไม่เหมาะสมต่อชุมชนของคนชายขอบ ในปี 1992 ระหว่างการแสดงในรายการ “Saturday Night Live” เธอฉีกรูปถ่ายของสมเด็จพระสันตะปาปาจอห์น ปอลที่ 2 เพื่อประท้วงการจัดการที่ล่าช้าและไม่เด็ดขาดในเรื่องอื้อฉาวเกี่ยวกับการล่วงละเมิดทางเพศของคริสตจักรคาทอลิก เหตุการณ์ดังกล่าวก่อให้เกิดการโต้เถียงและอย่างกว้างขวาง และตอกย้ำชื่อเสียงของเธอในฐานะศิลปินที่ไม่กลัวที่จะท้าทายอำนาจ

แม้จะมีความสามารถและความสำเร็จอันมากมายในชีวิต แต่โอคอนเนอร์ก็เผชิญกับปัญหาและความท้าทายตลอดชีวิตของเธอ เธอเปิดเผยอย่างตรงไปตรงมาเกี่ยวกับการต่อสู้กับปัญหาสุขภาพจิต รวมถึงโรคอารมณ์สองขั้ว (Bipolar) ซึ่งบางครั้งนำไปสู่พฤติกรรมที่เอาแน่เอานอนไม่ได้และอาการทำลายตนเอง การเปิดใจกว้างของเธอเกี่ยวกับปัญหาสุขภาพจิตไม่เพียงช่วยลดความรู้สึกกดดันและความเศร้าใจในปัญหาทางจิตเท่านั้น แต่ยังกระตุ้นให้ผู้อื่นกล้าที่จะลุกขึ้นมายืนหยัดเผชิญปัญหา ขอความช่วยเหลือและการสนับสนุนที่จำเป็นอีกด้วย

ในฐานะศิลปินโอคอนเนอร์ได้พัฒนาและทดลองเสียงของเธออย่างต่อเนื่อง โดยปฏิเสธที่จะจำกัดอยู่เฉพาะแนวเพลงใดแนวหนึ่ง เธอเจาะลึกแนวดนตรีที่หลากหลาย ทั้งร็อก โฟล์ก และเร็กเก โดยยังคงรักษาเสียงที่เป็นเอกลักษณ์และการแต่งเพลงที่เฉียบคมของเธอไว้ แต่ละอัลบั้มที่เธอปล่อยออกมานั้นแสดงให้เห็นถึงแง่มุมที่แตกต่างกัน ตั้งแต่การใคร่ครวญส่วนตัวไปจนถึงการวิจารณ์สังคม

อิทธิพลของ ซีเนียด โอคอนเนอร์ ที่มีต่อวงการเพลงและวัฒนธรรมป๊อปนั้นลึกซึ้งมาก แนวทางดนตรีที่ก้าวล้ำของเธอ ควบคู่ไปกับความมุ่งมั่นที่แน่วแน่ในการต่อต้านความอยุติธรรม ได้สร้างแรงบันดาลใจให้ศิลปินจำนวนนับไม่ถ้วนใช้ศิลปะของพวกเขาเป็นเครื่องมือในการเปลี่ยนแปลงสังคม ความกล้าหาญของเธอที่จะเป็นตัวของตัวเองและท้าทายสถานะที่เป็นอยู่ได้ทิ้งร่องรอยที่ลบไม่ออกให้กับนักดนตรีและนักเคลื่อนไหวต่อไป

และในมรดกทางดนตรีของเธอนั้น น้ำเสียงที่ทรงพลังและทัศนคติที่ปราศจากความกลัวของเธอ ยังคงย้ำเตือนเราถึงความสำคัญของการยึดมั่นในตัวเองและต่อสู้เพื่อสิ่งที่เราเชื่อ ในขณะที่โลกของดนตรีพัฒนาขึ้น มรดกทางดนตรีของ ซีเนียด โอคอนเนอร์ ในฐานะบุคคลต้นแบบจะยังคงอยู่ตลอดไปอย่างไม่ต้องสงสัย และเสียงของเธอจะยังคงสร้างแรงบันดาลใจให้คนรุ่นหลังใช้เสียงและพลังของพวกเขาเพื่อการเปลี่ยนแปลงชีวิตและสังคมให้ก้าวไปสู่ทางที่งดงามต่อไป

ที่มา

nytimes

distractify

พิสูจน์อักษร : สุชยา เกษจำรัส