เมอรีล สตรีป (Meryl Streep) นักแสดงหญิงรุ่นใหญ่ที่ได้รับการยกย่องในฝีมือการแสดง และเธอยังเป็นเจ้าของสถิติในประวัติศาสตร์ออสการ์ ด้วยการเป็นนักแสดงหญิงที่ได้รับรางวัลออสการ์มากถึง 3 รางวัล และได้รับเสนอชื่อเข้าชิงทั้งหมด 21 ครั้ง เป็นรองแค่ แคตเธอรีน เฮปเบิร์น (Katharine Hepburn) ที่ได้รับรางวัลออสการ์ 4 รางวัล (จากการเข้าชิงทั้งหมด 12 ครั้ง)

แต่ย้อนกลับไปเมื่อตอนที่เธอร่วมแสดงในหนังสงคราม ‘The Deer Hunter’ (1978) ภาพยนตร์เรื่องที่ 2 ในชีวิตของเธอ ที่ภายหลัง สตรีปได้ออกมาเปิดเผยว่า เธอเองไม่ชอบการแสดงในหนังเรื่องนี้ และไม่ได้รู้สึกยินดีนักที่การแสดงของเธอในหนังเรื่องนี้ ได้ส่งให้เธอได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลนักแสดงสมทบหญิงยอดเยี่ยม บนเวทีออสการ์เป็นครั้งแรกในชีวิต ซึ่งในหนังสือชีวประวัติของเธอ ‘Her Again: Becoming Meryl Streep’ ที่เขียนโดย ไมเคิล ชูลแมน (Michael Schulman) ได้บันทึกเรื่องราวโศกนาฏกรรมรักครั้งนี้ไว้

หลังจากเรียนจบปริญญาโทด้านการแสดง จากโรงเรียนสอนการแสดงของมหาวิทยาลัยเยล (Yale University) เมอรีลในวัย 29 ปี ได้กลายเป็นนักแสดงละครบรอดเวย์ของนิวยอร์ก สตรีปกลายเป็นดาวเด่นของบรอดเวย์ในระยะเวลาอันรวดเร็ว จนกระทั่งเธอได้มีโอกาสข้ามมาแสดงภาพยนตร์ครั้งแรกด้วยการเป็นตัวประกอบในหนังเรื่อง ‘Julia’ (1977) แต่ก็ยังไม่มีชื่อเสียงมากนัก แต่ก่อนหน้านั้น เธอได้พบกับผู้ชายคนหนึ่งที่จะกลายเป็นคนที่เธอผูกพันในช่วงเวลาหนึ่ง นั่นก็คือ จอห์น คาซาล (John Cazale) นักแสดงหนุ่มใหญ่ที่อายุมากกว่าเธอถึง 14 ปี

คาซาลและสตรีปเจอกันครั้งแรกระหว่างแสดงละครเวทีเรื่อง ‘Measure for Measure’ (1976) คาซาลในเวลานั้นมีการแสดงในภาพยนตร์มาบ้างแล้วในหนัง ‘The Godfather’ (1972), ‘The Conversation’ (1974), ‘The Godfather Part II’ (1974) และ ‘Dog Day Afternoon’ (1975) จนกระทั่งในเวลาต่อมา ผู้กำกับ ไมเคิล ซิมิโน (Michael Cimino) กำลังเตรียมตัวจะกำกับหนังสงครามเรื่อง ‘The Deer Hunter’ ที่มี โรเบิร์ต เดอนีโร (Robert De Niro) แสดงนำ ซึ่งชิมิโนเป็นคนเลือกคาซาลมาร่วมแสดง

ส่วนคนที่ชักชวนให้สตรีปมาร่วมแสดงก็คือเดอนีโร ที่ได้ไปดูละครบรอดเวย์และประทับใจในการแสดง จึงได้ชักชวนเธอมารับบทสมทบที่มีชื่อว่า ลินดา และในเวลานั้นเอง เธอได้เห็นเสน่ห์บางอย่างของชายวัย 40 ปีที่มีโครงใบหน้าเรียว หน้าผากสูง จมูกโด่ง แววตาเศร้า แทบจะไม่มีมาดของนักแสดงพิมพ์นิยมยุค 70s เลยแม้แต่น้อย แต่สตรีปกลับตกหลุมรักในความอยากรู้อยากเห็น ความเป็นระเบียบ และความมีเมตตาของเขา ที่สะท้อนออกมาจากภายในของนักแสดงรุ่นพี่คนนี้

ทั้งคาซาลและสตรีปมีวันคืนหวานชื่นโรแมนติกตามประสาคู่รัก ทั้งคู่ใช้ชีวิตอยู่ในห้องใต้หลังคาในบ้านของคาซาล ความรักหวานชื่นของทั้งคู่กลายเป็นที่อิจฉาของวงการบรอดเวย์ในเวลานั้น ในแง่ของการงาน เส้นทางชีวิตการแสดงของทั้งคู่ก็กำลังอยู่ในช่วงขาขึ้น ทั้งคู่ได้รับเลือกให้ร่วมแสดงในหนัง ‘The Deer Hunter’ ที่ภายหลังจะกลายเป็นหนังที่ได้รับคำชื่นชมจากนักวิจารณ์อย่างมาก

ในระหว่างถ่ายทำ สตรีปเฝ้าดูอาการของคนรักอย่างระมัดระวังเสมอ นักแสดงหลายคนในกองถ่ายทราบถึงอาการของเขา และเมื่อพักกอง ทั้งคู่มักจะใช้เวลาอยู่ร่วมกันเป็นประจำ ทั้งนั่งคุยกัน เดินด้วยกัน หัวเราะด้วยกันอย่างมีความสุข ราวกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น

แต่แล้ว คืนวันหวานชื่นก็พลันมืดมิด อาการเจ็บป่วยที่อยู่ในร่างกายของคาซาลเริ่มค่อย ๆ แสดงตัวออกมา ในระหว่างซ้อมละครเวที คาซาลเริ่มมีอาการไอเป็นเลือด อาการของเขาไม่สู้ดี จนต้องพาไปเข้ารับการรักษา และไม่กี่วัน แพทย์วินิจฉัยว่า คาซาลมีอาการโรคมะเร็งปอดระยะสุดท้ายที่แพร่กระจายไปทั่วทั้งร่างกาย เมอรีล คู่รักของเขาในเวลานั้นแม้จะรู้สึกเหมือนโดนฟ้าผ่า แต่เธอเองก็พยายามจะฝืนทำเป็นเหมือนว่าไม่เป็นอะไร เธอเงยหน้าขึ้นและถามกับคาซาลว่า “แล้วเย็นนี้เราจะไปกินข้าวที่ไหนกันดี ? “

คาซาลตัดสินใจหยุดรับงานแสดงละครเวทีในแทบจะทันที และสตรีปเกิดความมุ่งมั่นที่จะดูแลคนรักของเธอ ด้วยการใช้ชีวิตร่วมกับคาซาลตลอดทั้งในเวลาปกติ และเวลาทำงานในกองถ่าย ทั้งสตรีป ชิมิโน และเดอนีโร ต่างช่วยกันปกปิดอาการป่วยของคาซาลไว้เป็นความลับ แต่สุดท้าย ข่าวก็แพร่สะพัดไปถึงผู้บริหารของสตูดิโอ EMI Films ที่ต้องการจะให้คาซาลออกจากหนัง เพราะมองว่าการเจ็บป่วยของเขาจะกลายเป็นความเสี่ยงในกรณีที่คาซาลเสียชีวิตระหว่างถ่ายทำ ชิมิโนต้องเป็นคนโทรไปโต้เถียงกับสตูดิโอว่า เขาจะไม่ยอมเปลี่ยนนักแสดงเป็นอันขาด

นั่นจึงทำให้เดอนีโร ตัดสินใจควักเงินส่วนตัวเพื่อเป็นหลักประกันให้เพื่อนอย่างคาซาลได้แสดงหนังต่อไป และเพื่อไม่ให้การถ่ายทำสะดุด ชิมิโนได้ตัดสินใจเริ่มถ่ายฉากที่มีคาซาลปรากฏตัวให้เสร็จสิ้น ก่อนจะเริ่มถ่ายซีนอื่น ๆ ที่ต้องเดินทางไปถ่ายทำทั้งในสหรัฐอเมริกา เวียดนาม และประเทศไทย

ภายหลัง สตรีปได้เปิดเผยว่า เธอเองไม่เคยประทับใจในบทบาทลินดาในหนังเรื่องนี้ เพราะเธอมองว่ามันเป็นบทที่เขียนเกี่ยวกับผู้หญิงจากมุมมองของผู้ชายที่มองลินดาว่าเป็นเด็กสาวที่เฉื่อยชา เงียบขรึม และอ่อนแออยู่ตลอดเวลา ซึ่งแต่เดิมแล้วถูกเขียนบทให้แทบจะไม่มีบทบาทอะไรในหนังเลย และชิมิโนเปิดโอกาสให้เธอมีโอกาสเสริมแต่งบทขึ้นมาด้วยตัวเอง และเธอเองก็ต้องยอมฝืนทนแสดงในบทบาที่เธอไม่ชอบ เพียงเพื่อจะได้ใช้ชีวิตอยู่กับคนรัก

สตรีปยังคงดูแลอาการป่วยของคาซาลต่อไป และตัดสินใจรับแสดงในมินิซีรีส์ ‘Holocaust’ (1978) ด้วย เพื่อหาเงินมาจ่ายค่ารักษาโรคมะเร็งของคาซาล เธอต้องเดินทางไปถ่ายทำที่ประเทศออสเตรีย แต่คาซาลเองก็หมดแรงเกินกว่าจะเดินทางไปด้วย เธอทำได้แค่เพียงต้องทิ้งเขาไว้ที่บ้าน โดยมีเพื่อนนักแสดงอีกคนอย่าง อัล ปาชิโน (Al Pacino) คอยพาเขาไปเข้ารักษาด้วยการฉายรังสี การถ่ายทำลากยาวไปถึง 2 เดือนครึ่ง แม้สตรีปเองจะพยายามทำตัวปกติและพยายามมีความเป็นมืออาชีพในกองถ่าย แต่ภายในใจของเธอเองก็กำลังทุกข์ทรมาน

Meryl Streep John Cazale

หลังจากถ่ายทำเสร็จสิ้น เธอเดินทางกลับมาหาคาซาลในแทบจะทันที และคอยดูแลเขาเช่นเคย พาไปพบแพทย์ตามนัดทุกครั้ง แต่อาการของคาซาลก็ยิ่งแย่ลงทุกที จนตอนนี้มะเร็งได้ลุกลามไปทั่วร่างกายจนทำให้เขากลายเป็นโรคมะเร็งกระดูก

ในหนังสือเล่มดังกล่าว ชูลแมนกล่าวถึงสตรีปว่า “เธอเป็นคนที่เข้มแข็ง แน่วแน่ และมีความหวังอยู่เสมอ และผมคิดว่าเธอได้ใช้ทั้งหมดของจิตวิญญาณและความแข็งแกร่งของเธอเพื่อดูแลเขา เธอไม่ใช่คนที่จะคอยสร้างดราม่าหรือดึงดูดความสนใจมาที่ตัวเอง เธอแค่กำลังมุ่งมั่นและทำสิ่งที่ต้องทำ”

หลังจากรักษาตัวมาอย่างยาวนานกว่า 10 เดือน ในต้นเดือนมีนาคม ปี 1978 สตรีปได้พาคาซาลเข้ารักษาต่อในโรงพยาบาล แม้เธอจะรู้ดีว่าคนรักของเธอกำลังจะจากไปอย่างแน่นอน แต่เธอก็ไม่อาจจะทำใจได้

คาซาลค่อย ๆ หลับตาลงช้า ๆ สตรีปที่กำลังสะอื้นใช้มือตีไปที่หน้าอกของเขาพร้อมกับร่ำไห้สะอื้น ทันใดนั้น คาซาลค่อย ๆ ฝืนลืมตาขึ้นมาช้า ๆ อีกครั้ง

“ไม่เป็นไรหรอกนะเมอรีล…ไม่เป็นไร…”

คาซาลพูดปลอบเธออย่างอ่อนแรง และไม่กี่วินาทีต่อมา เขาก็ค่อยหลับตาลงช้า ๆ คาซาลเดินทางจากชีวิตของสตรีปไปในช่วงเช้ามืด เวลา 03.00 น. ของวันที่ 12 มีนาคม ปี 1978 ก่อนที่หนัง ‘The Deer Hunter’ หนังเรื่องสุดท้ายในชีวิตของเขาจะเข้าฉายเพียง 9 เดือน และเขาเองก็ยังไม่ได้ดูหนังที่เขาแสดงเลยด้วยซ้ำ

เธอค่อย ๆ รวบรวมสติเพื่อโทรแจ้งกับสตีเฟน น้องชายของคาซาลเพื่อแจ้งข่าว

“จอห์นไปแล้วนะ”

“โอ้ พระเจ้า” สตีเฟนกล่าว

“ฉันเหนื่อยเหลือเกิน” สตรีปกล่าวพร้อมกับสะอื้นไห้อีกครั้ง เป็นจุดสิ้นสุดของการเผชิญความทุกข์ทรมานอันยาวนานจากโรคร้าย และสิ้นสุดระยะทางแห่งความรักของทั้งคู่ที่กินระยะเวลาสั้น ๆ เพียงแค่ 2 ปี

ปาชิโนเคยกล่าวถึงสตรีปในช่วงเวลาที่เธอทุ่มเททำงานและให้เวลาดูแลคนรักอย่างใกล้ชิดว่า เขาเองไม่เคยเห็นผู้หญิงคนไหน ที่จะดูแลและให้ความรักกับคนรักของตัวเองที่กำลังจะจากไป เหมือนกับที่เมอรีลได้ทำกับจอห์นจนถึงวินาทีสุดท้ายของชีวิตเลย

Meryl Streep

หลังจาก ‘The Deer Hunter’ เข้าฉาย สามารถเอาชนะใจนักวิจารณ์ จนสามารถเข้าชิงรางวัลออสการ์ ครั้งที่ 51 ประจำปี 1979 ได้มากที่สุดถึง 9 สาขา และคว้ามาได้ 5 สาขา รวมทั้งสาขาภาพยนตร์ยอดเยี่ยมของปีนั้น รวมทั้งสตรีปที่ได้มีรับการเสนอชื่อเข้าชิงในสาขานักแสดงสมทบหญิงยอดเยี่ยมเป็นครั้งแรกในชีวิต โดยที่ไม่มีอดีตคนรักของเธอร่วมยินดี

จนกระทั่งในอีก 6 เดือนถัดมา หลังการเสียชีวิตของคาซาล สตรีปได้แต่งงานกับศิลปิน ดอน กัมเมอร์ (Don Gummer) สามีที่อยู่เคียงข้างเธอ และมีลูกด้วยกันทั้งหมด 4 คน (ก่อนจะแยกทางกันในปี 2017) และในปีถัดมา สตรีปสามารถคว้ารางวัลออสการ์ สาขานักแสดงสมทบหญิงยอดเยี่ยม จากการรับบทเป็นแม่บ้านผู้ฟ้องหย่าสามี ในหนังเรื่อง ‘Kramer VS Kramer’ (1979) เป็นตัวแรกในชีวิต

สตรีปเคยกล่าวถึงความรู้สึกของเธอในการรับมือกับการจากไปของอดีตคนรัก ไว้ในหนังสือชีวประวัติอีกเล่ม ‘Meryl Streep: Anatomy of an Actor’ ที่ตีพิมพ์ในปี 2014 ว่า

“ฉันเองไม่ได้ต้องการจะพยายามก้าวข้าม ฉันไม่ได้ต้องการที่จะเอาชนะมัน ไม่ว่าคุณจะทำอะไรก็ตาม ความเจ็บปวดย่อมจะยังปรากฏอยู่ภายในจิตใจบางช่วงเวลาเสมอ และจะส่งผลต่อทุกสิ่งที่เกิดขึ้นกับเราในภายหลัง ฉันคิดว่าคนเราสามารถซึมซับความเจ็บปวดนั้น และดำเนินชีวิตต่อไปได้ โดยไม่ไปหมกมุ่นอยู่กับมัน”