แม้ละครจะอวสานไปแล้ว แต่กระแสละครช่อง 3 อย่าง ‘พิภพหิมพานต์’ กลายเป็นละครที่ยังคงถูกพูดถึงความสมจริงในงานด้าน Computer Graphic ที่สวยสมจริง และทำอย่างประณีต ต่างจากภาพจำซีจีละครไทยในอดีตที่มักโดนล้อ
เราจึงขอมาเยือน ‘Fatcat Studios’ สตูดิโอเล็ก ๆ ที่อยู่เบื้องหลังผลงานซีจีละครเรื่องนี้ สรรสร้างสัตว์หิมพานต์หลายตัว ที่ไม่ใช่เพียงแค่วาดภาพ แต่ต้องใ้ช้เวลาค้นคว้าข้อมูล และใช้เวลาสร้างสรรค์นานนับปี แม้ว่าละครจะฉายจบภายในไม่ถึงเดือนก็ตาม
รวมถึงไปหาคำตอบว่า ทำไมซีจีละครไทยในอดีตถึงได้ออกมาเป็นแบบนั้น และจะมีทางไหม ควรจะทำอย่างไรเพื่อให้วงการซีจีไทยสามารถโกอินเตอร์ไปไกลกว่าเดิม
หมายเหตุ : ชมภาพเบื้องหลัง CG ละคร ‘พิภพหิมพานต์’ แบบละเอียดได้ที่คลิปด้านล่างนี้เลยครับ
FatCat Studios STAFF
ชาลิต ไกรเลิศมงคล (พี่เต้ย) | VFX Producer / VFX Director / เจ้าของสตูดิโอ Fatcat VFX
วีรยุทธ ยอดกมลศาสตร์ (พี่ลิ้ม) | Lead 3D Modeler
วโรดม ไตรกิศยเวช (พี่อาร์ม) | Lead Creature FX TD
นบชนก รักจิตร์ (พี่หนอด) | Lead Animator / 3D Generalist
ธนิศร ชิตเจริญ (พี่อั้ม) | Lead Lookdev & Lighting TD
วิชยุตม์ กมล (พี่โย) | Compositing Supervisor
ก่อนอื่นเลย อยากให้พวกคุณอธิบายวิธีขั้นตอนการทำงานในการทำ CG แบบคร่าว ๆ ให้ฟังหน่อยว่า กว่าจะได้คอมพิวเตอร์กราฟิกสักตัว ต้องมีขั้นตอนอะไรบ้าง
พี่ลิ้ม (3D Modeler) : หลังจากที่เราได้รับบรีฟดีไซน์ต่าง ๆ คุยกับพี่เต้ยแล้วว่าตัวละครที่จะทำจะออกมาประมาณไหน ผมก็จะทำการออกแบบตัวละครขึ้นมาด้วยการปั้นโมเดล 3D ขึ้นมาก่อน แล้วก็ทำพื้นผิวต่าง ๆ ขึ้นมา แล้วก็ลงสี
พี่อาร์ม (Creature FX TD) : ส่วนผมก็จะรับผิดชอบต่อจาก Modeler นะครับ ด้วยการนำตัวโมเดลคาแรกเตอร์ที่ยังไม่มีการเคลื่อนไหว เอามาใส่กระดูกและทำให้มันเคลื่อนไหวได้ ก่อนจะส่งต่อให้กับ Animator ครับ แล้วก็จะส่งกลับมาที่ผม เพื่อทำการจำลองการเคลื่อนไหวของกล้ามเนื้อ กระดูก และขนต่าง ๆ เป็นการเพิ่มไดนามิกให้กับคาแรกเตอร์ครับ
พี่หนอด (Animator / 3D Generalist) : หลังจากได้การเซ็ตอัปโมเดลมาแล้วในขั้นตอนก่อนหน้านี้ ผมก็จะมีหน้าที่ลง Scene ครับ เป็นการทำแอนิเมชัน ซึ่งก็จะมี 2 ส่วน ก็คือ หนึ่ง การทำแอนิเมชันของกล้องครับ ก็คือการทำกล้องให้ซิงก์กับฟุตเทจที่ได้รับมา ให้กล้องของ 3D เหมือนกับกล้องที่ถ่ายฟุตเทจจริง หลังจากนั้นก็ใส่แอนิเมชันที่เป็นตัวคาแรกเตอร์เข้าไป เพื่อทำให้โมเดลนิ่ง ๆ สามารถขยับเคลื่อนไหวได้เหมือนกับสัตว์จริง ๆ อย่างที่เราต้องการครับ
พี่อั้ม (Lookdev & Lighting TD) : ต่อไปก็จะเป็นขั้นตอนของการเรนเดอร์นะครับ พอได้โมเดลในส่วนของขั้นตอนก่อนหน้านี้มา ผมก็จะนำโมเดลที่ได้มาปรับพื้นผิวให้มีความเป็นผิวหนังของสัตว์ต่าง ๆ ที่ใช้เป็น Reference ซึ่งบนผิวหนัง ในปาก หรือครีบของสัตว์ก็จะมีการดูดซับแสงที่ไม่เหมือนกัน และมีความแตกต่างจากผิวหนังของคน และนำ 3D ที่แอนิเมเตอร์ทำไว้มาจำลองแสงกับฟุตเทจว่า แสงและเงาเข้าทางไหน แดดเป็นยังไง และจัดแสงให้ตรงตามฟุตเทจให้มากที่สุดเพื่อความสมจริง แล้วก็เรนเดอร์เพื่อส่งสู่ขั้นตอนสุดท้ายครับ
พี่โย (Compositing) : ในส่วนของผมก็จะเป็นส่วนสุดท้าย ก็จะเป็นส่วนของการ Composite นะครับ ก็จะเอาฟุตเทจที่ได้จากการถ่ายทำมาประกอบกับ 3D ที่เรนเดอร์ออกมา เพื่อรวบรวมองค์ประกอบให้ภาพมีความสมจริง มีความสมบูรณ์ สวยงามก่อนส่งลูกค้าครับ
![พิภพหิมพานต์](https://www.beartai.com/wp-content/uploads/2021/04/พิภพหิมพานต์-cover-04205.jpg)
อยากให้พี่เต้ยเล่าหน่อยว่า Fatcat Studios กำเนิดขึ้นมาได้ยังไง และที่ผ่านมา สตูดิโอมีผลงานเด่น ๆ ชิ้นไหนที่คนรู้จักบ้าง
พี่เต้ย : จุดเริ่มต้นก็คือการรวมกลุ่มคนที่ชอบดูหนังแฟนตาซี ดูหนังวิชวลเอฟเฟกต์ แล้วเราก็อยากจะทำคอนเทนต์ ทำหนังไทยให้มีความทัดเทียมกับต่างประเทศอะไรแบบนี้ครับ อย่างเช่นต่างประเทศก็จะมี ‘Julassic Park’ มี ‘The Lord of The Ring’ มี ‘Harry Potter’ ซึ่งของไทยเราเอง เราก็อยากจะเอาวรรณคดีไทยจากจินตนาการ หรือจากฝาผนังวัดมาสร้างให้เห็นเป็นภาพจริง ๆ ได้
ซึ่งตลอดสิบปีที่ผ่านมา ทีมของพวกเราที่ร่วมงานกันมา หรืออย่างน้อง ๆ ที่อยู่ตรงนี้ก็จะมี Passion เดียวกัน และค่อย ๆ เรียนรู้ ค่อย ๆ พัฒนางาน เวลางานของพวกเราฉาย เราก็ชอบที่จะไปเช็กฟีดแบ็กกัน ถ้าเขาชื่นชมว่ามันดี เราก็ดีใจ แต่ถ้ามีคำติ เราก็จะเอาตรงนั้นไปปรับปรุงพัฒนา
ถ้าเป็นผลงานในอดีตนะครับ เอาที่เด่น ๆ ที่คนรู้จักก็คือละครเรื่อง ‘มณีสวาท’ ซึ่งเป็นละครเรื่องแรกที่เราทำ ซึ่งจะเป็นละครที่เราได้สร้างคาแรกเตอร์แอนิเมชันตัวพญานาคกับครุฑ มีซีนครุฑโฉบพญานาค และซีนเสกยักษ์มาต่อสู้กัน ซึ่งตอนนั้นก็ถือว่าเป็นที่ฮือฮา เพราะว่าละครไทยในสมัยนั้นก็ไม่ได้เป็น 3D เต็มตัวอะไรขนาดนั้น พอหลังจากนั้นผู้จัดละครก็เริ่มเข้าใจว่า ซีจีละครไทยทำแบบนี้ได้ด้วยเหรอ
ก็เลยได้ทำอีกโปรเจกต์หนึ่งก็คือ พี่ออฟ (พงษ์พัฒน์ วชิรบรรจง) จะทำละครเรื่อง ‘นาคี’ ซึ่งเป็นนิยายเกี่ยวกับพญานาค พี่ออฟก็เรียกไปคุยว่าเป็นไปได้ไหมที่จะทำพญานาคให้ดูเหมือนจริง จับต้องได้ เหมือนสิ่งมีชีวิต ซึ่งงานนี้ก็ทำให้ Fatcat กลายมาเป็นที่รู้จักในวงกว้าง เพราะกระแสและเรตติงของละครประสบความสำเร็จมาก
พอหลังจากทำนาคี ก็ได้มาทำภาพยนตร์ ก็คือ ‘นาคี 2’ ที่ต่อยอดมาจากละคร และได้ร่วมงานกับ GDH ก็คือหนังเรื่อง ‘เพื่อน..ที่ระลึก’ (2560) เป็นหนังผีที่ได้รางวัลสุพรรณหงส์ และเรื่องล่าสุดก็คือ ‘ขุนแผนฟ้าฟื้น’ (2562) แล้วก็ขอโปรโมตนิดหนึ่งว่า กำลังจะมีผลงาน Original ของทาง Fatcat ที่ผมกำกับเอง เป็นสไตล์สัตว์ประหลาด ต้องรอดูกันนะครับว่าจะมาเมื่อไหร่
![พิภพหิมพานต์](https://www.beartai.com/wp-content/uploads/2021/04/พิภพหิมพานต์-01.jpg)
จุดเริ่มต้นการร่วมงานของ Fatcat Studios กับละคร ‘พิภพหิมพานต์’ มีที่มาอย่างไรบ้าง
พี่เต้ย : จริง ๆ แล้วตลอดสิบกว่าปีที่เราทำงานกันมา เราก็มี Passion ที่อยากจะทำ Original Content ของตัวเองมาโดยตลอด ในระหว่างทางเราก็พยายามจะคิดโปรเจกต์หนังแฟนตาซี คิดพล็อตเรื่องเพื่อที่จะเอาไปเสนอ ซึ่งในระหว่างนั้นมันก็ผ่านมาหลายยุค ตั้งแต่ยุคที่คนยังไม่เชื่อมั่นในซีจีฝีมือคนไทย
จนกระทั่งเราได้ไปเสนอกับคุณแป๊ป (ณฤทธิ์ ยุวบูรณ์) แห่งบริษัท Minds at work ที่เป็นผู้จัดละครช่อง 3 คุณแป๊ปก็มีความตั้งใจว่าอยากจะทำวรรณคดีไทยให้ดูอินเตอร์ เหมือนซีรีส์ ‘Game of Thrones’ ที่เอาตำนานของตะวันตกมาทำให้ดูจับต้องได้ พอได้คุยกันก็เหมือนเคมีตรงกัน คุณแป๊ปก็เลยไปเสนอกับทางผู้ใหญ่ของช่อง 3
ซึ่งจริง ๆ แล้วสไตล์ละครช่อง 3 ไม่ค่อยมีละครแนวแฟนตาซีมากนัก ส่วนใหญ่จะเป็นแนวดราม่า หรือแนวจิ้น แต่พอมีละครเรื่องนี้ขึ้นมา เหมือนเขาก็อยากจะทดลองอะไรใหม่ ๆ ดู มันก็เหมือนว่าเราที่เตรียมกันมาเป็นสิบ ๆ ปี อยู่ดี ๆ ก็มีคนให้โอกาสและเชื่อว่าเราจะทำได้ ก็เลยมาบิลต์กับน้อง ๆ ในทีมว่า ละครพิภพหิมพานต์ ซีจีจัดเต็มทุกตอน เตรียมอดหลับอดนอนกันได้ ไหวไหม จะลองกันไหม (หัวเราะทั้งวง) ต้องมีการเช็กกันก่อนครับ เดี๋ยวจะกลายเป็นว่าเราสนุกอยู่คนเดียว แต่น้อง ๆ ไม่สนุกด้วย (หัวเราะ) ซึ่งพอดีว่าน้อง ๆ ทุกคนเขามีเป้าหมายเดียวกัน ก็เลยได้เริ่มโปรเจ็กต์นี้ขึ้นมาครับ
![พิภพหิมพานต์](https://www.beartai.com/wp-content/uploads/2021/04/พิภพหิมพานต์-04201.jpg)
ในขั้นตอนการทำซีจีละครเรื่องนี้ แต่ละขั้นตอนของการออกแบบ ‘สัตว์หิมพานต์’ มีความยากหรือมีอุปสรรคอย่างไรบ้าง
พี่ลิ้ม : ในละครพิภพหิมพานต์ ความยากก็คือว่าสัตว์ประหลาดแต่ละตัวมันไม่เคยมีอยู่จริงบนโลกครับ อย่างเช่นตัว ‘เหรา’ (เห-รา) มันไม่ได้มีอยู่จริงบนโลกน่ะครับ เวลาเราออกแบบ ก็ต้องคิดว่าเราจะทำยังไงดีนะ ที่จะทำให้คนเชื่อว่าสัตว์หิมพานต์ควรจะเป็นแบบนี้ เราก็เลยใช้วิธีการดึงเอกลักษณ์ต่าง ๆ ของสัตว์หิมพานต์มาผสมผสานกับสัตว์ที่มีอยู่ในโลกแห่งความเป็นจริง อย่างเช่นเหรา เราก็จะเลือกตัว ‘มังกรโคโมโด’ มาเป็นตัวต้นแบบของเหรา เพื่อที่ว่าเวลาเราเคลื่อนไหว การใส่กระดูก ลักษณะกล้ามเนื้อ จะได้ดูมีความสมจริง ซึ่งทั้งหมดนี้ใช้เวลา 3 เดือนครับ
![พิภพหิมพานต์](https://www.beartai.com/wp-content/uploads/2021/04/Pic_alpha_07-ขนาดดั้งเดิม.jpg)
พี่เต้ย : กี่เวอร์ชันกว่าจะผ่าน กว่าจะได้เป็น Final
พี่ลิ้ม : เกิน 20 เวอร์ชันครับ (หัวเราะ)
พี่เต้ย : จริง ๆ โปรดิวเซอร์เคาะให้ผ่านแล้วแหละ แต่ด้วยความที่อยากให้มันออกมาดี ก็เลยขอทำต่อ จริง ๆ แล้วโดยเป้าหมายที่คุยกับน้อง ๆ ก็คือ อยากให้สัตว์หิมพานต์แต่ละตัวออกมาดูมีความสมจริง และจับต้องได้ ก็เลยบรีฟกับน้อง ๆ ว่า เราจะไม่ได้ทำแบบแนวลายไทยนะ แต่เราจะดึงเอาอัตลักษณ์ของตำนาน ซึ่งตรงนี้คุณกอล์ฟ (สรรัตน์ จิรบวรวิสุทธิ์) ที่เคยเขียนบท ‘นาคี’ มาก่อน ก็จะมีข้อมูลเรื่องของสัตว์ในป่าหิมพานต์มาเล่าให้ฟังว่า แต่ละตัวมีเอกลักษณ์อะไรบ้าง แล้วก็จะมาดูกันว่าอันไหนตัดได้ อันไหนผสมผสานกับอะไรได้บ้าง แล้วค่อยเอามาวางเป็นไบเบิล
ในระหว่างการออกแบบ ต้องมีการปรึกษา ชั่งน้ำหนักกันตลอด เพื่อไม่ให้มันหลุดคอนเซปต์ เพราะถ้าหลุดคอนเซปต์ มันก็จะออกมากลายเป็นสัตว์ประหลาดอะไรสักอย่างที่ไม่ใช่สัตว์หิมพานต์
พี่เต้ย
พี่อาร์ม : ในส่วนของการออกแบบไดนามิกของคาแรกเตอร์นะครับ ก็จะต้องมีการค้นคว้าข้อมูลพอสมควร ว่า เพราะว่า Process ของกล้ามเนื้อมันเป็นอะไรที่ค่อนข้างใหม่สำหรับในวงการซีจีของบ้านเรา เพราะว่าไม่ค่อยมีใครทำในไทย ส่วนมากผมก็จะไปดูจากเว็บต่างประเทศ แล้วมาปรับใช้กับสัตว์หิมพานต์ที่ได้รับโจทย์มา อย่างเช่นเหรา ซึ่งผมก็ต้องไปหา Reference ในแต่ละส่วน อย่างเช่นครีบด้านหลัง จะเป็นพังผืดไหม หรือจะเป็นแบบครีบปลา ซึ่งผมก็ต้องลองเทสต์ Dynamic กันหลายรอบมากครับ
หรืออีกตัวหนึ่งก็คือ ‘ตัวสี่หูห้าตา’ ซึ่งเป็นสัตว์หิมพานต์ที่มีขน เราก็ต้องมานั่งคิดแล้วว่าจะเอาขนจากส่วนไหนของตัวอะไรบ้างมาใส่ให้คนดูรู้สึกว่าชอบ มันน่ารัก และสวยสมจริงที่สุด และเชื่อว่ามันดูเหมือนสัตว์ที่อยู่บนโลกจริง ๆ
![พิภพหิมพานต์](https://www.beartai.com/wp-content/uploads/2021/04/Pic_alpha_14-ขนาดดั้งเดิม.jpg)
พี่หนอด : สำหรับในพาร์ต Animation นะครับก็คือละครเรื่องอื่น ๆ เขาอาจจะไม่กล้าจัดเต็มเท่าไหร่ เพราะเขากลัวว่าทีมซีจีจะทำได้หรือเปล่า ถ้าถ่ายมาแล้วเราทำไม่ได้ก็จะลำบาก แต่กับละครเรื่องนี้ พี่เต้ยสามารถพูดกับผู้กำกับได้เลยว่าให้จัดเต็มช็อตซีจี เพราะฉะนั้น ฟุตเทจที่ได้มาก็จะยากกว่าละครเรื่องอื่น ๆ ที่เคยทำมาครับ ยากทั้งเรื่องความต่อเนื่อง การดีไซน์ช็อต คาแร็กเตอร์ที่่ต้องใช้ขั้นตอนในการทำมากกว่าปกติ
ยกตัวอย่างเช่นฉาก Long Take หนีเสือ มันไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ด้วยความที่มันเป็นช็อตต่อเนื่องยาวมาก ก็กลัวว่าถ้าถ่ายลองเทกมาแล้วจะทำกันได้ไหม จะแมตช์กล้องเข้ากับฟุตเตจได้ไหม หรือมีแอนิเมชันที่ไหลลื่นไปตลอดทั้งช็อตได้ไหม ไหน ๆ พี่เต้ยกล้าจะเอาช็อตนี้มาแล้ว เป็นอะไรที่ท้าทายมาก ก็ต้องทำให้ได้ครับ
พี่เต้ย : ฉากนี้จริง ๆ ตอนไปออกกองคือแอบถ่ายมา ยังไม่ได้ปรึกษาทีม ทีมก็จะช็อกเล็กน้อย (หัวเราะ)
พี่หนอด : พอเจอช็อตนี้ก็กุมขมับเลย แล้วก็ถามว่า พี่เต้ยทำอะไรมา (หัวเราะทั้งวง)
![พิภพหิมพานต์](https://www.beartai.com/wp-content/uploads/2021/04/พิภพหิมพานต์-04207.jpg)
พี่อั้ม : ในส่วน Lookdev ของผม ความยากก็คือเรื่องของพื้นผิวของโมเดลที่ปั้นครับ ก็ต้องหาข้อมูล อย่างตัวเหรา ก็จะมีส่วนที่เหมือนกับมังกรโคโมโด และบางส่วนที่คล้ายกับมังกร อย่างเช่นครีบหลัง หรือปากที่ได้แบบมาจากมังกรเลย ก็ต้องมาดูว่าจะต้องปรับสียังไง ดูดซับแสงยังไง ในแต่ละส่วนให้มีความดุร้ายสมจริง
ส่วนที่ยากที่สุดของผมคือ Long Take ฉากที่ตัว ‘มกร’ วิ่งไล่ทุบพระเอกนางเอก แล้วก็ทุบปราสาทในดรีมเวิลด์ ซึ่งเกิดขึ้นทั้งกลางแจ้งและในร่มไม้สลับกันไปมา ซึ่งก็ต้องมาปรับพื้นผิว ปรับแสงให้เข้ากับบรรยากาศ จำนวนเฟรมก็มหาโหดมาก เกือบ 1,000 เฟรมเลย ซึ่งเราก็ต้องสลับเลเยอร์ต่าง ๆ เพื่อให้ส่วนต่อไปทำงานง่ายขึ้น แต่ละเลเยอร์ก็ซับซ้อนมาก เพราะจะมีทั้งเงา ฝุ่น ควัน เศษดิน ค่อนข้างทำลายล้างเหมือนกัน เป็นซีนที่ยากที่สุดเท่าที่เคยทำมาแล้ว กลับบ้านดึกทุกวันเลยครับ
![พิภพหิมพานต์](https://www.beartai.com/wp-content/uploads/2021/04/Pic_alpha_12-ขนาดดั้งเดิม.jpg)
พี่โย : ความท้าทายของละครเรื่องนี้ก็คือความจัดเต็มของงาน ที่ีมีช็อตสวย ๆ มากว่าละครเรื่องอื่น ละครเรื่องนี้มีช็อตที่เป็นไฮไลต์มากมาย ใช้เวลาและขั้นตอนในการทำมากกว่าเรื่องอื่น ๆ ครับ
สรุปแล้วขั้นตอนทั้งหมดใช้เวลานานเท่าไร
พี่เต้ย : จริง ๆ ถ้าเอาขั้นตอนซีจีอย่างเดียว ก็ประมาณปีครึ่งครับ หลังจากที่ได้ฟุตเmจที่ได้จากการตัดต่อแล้ว แต่ถ้ารวมเรื่องของ R&D การเก็บข้อมูลต่าง ๆ เช่นเรื่องกล้ามเนื้อด้วย ก็ประมาณ 2 ปีครับ อยู่กับมันมา 2 ปี แต่ฉายเดือนเดียว (หัวเราะ)
อย่างบางกระบวนการที่เราเห็นในละครแค่ 2 วินาที แต่ขั้นตอนการทำงาน จริง ๆ อาจจะนานถึง 4 เดือน ใช้คน 20 คนรุมกันทำ อะไรแบบนี้ครับ
พี่หนอด
![พิภพหิมพานต์](https://www.beartai.com/wp-content/uploads/2021/04/พิภพหิมพานต์-04204.jpg)
ตอนที่ละครออกฉาย กระแสฟีดแบ็กดีมาก พวกคุณดีใจกันแค่ไหน
พี่เต้ย : จริง ๆ ก่อนฉาย ทุกคนก็ลุ้นกันครับ ทั้งน้อง ๆ ในทีม รวมถึงผู้จัด ผู้กำกับ ทีมละครทุกคน พอฉายแล้ว นอกจากซีจีที่ได้รับคำชม ก็รวมถึงเนื้อเรื่องที่สนุกน่าติดตามด้วย ทำให้น้อง ๆ ที่อัดงานหนักกันมาหลายเดือนก็มีกำลังใจ แต่จริง ๆ แล้วในใจของเราก็จะรู้อยู่ ด้วยข้อจำกัดเรื่องงบ ด้วยปริมาณงานต่าง ๆ งานที่ออกมามันก็คงไม่ได้เป็นซีจีที่เนียนที่สุด
เราเลยมักจะเข้าไปเช็กคำติ ที่คนบอกว่าตรงนี้มันยังไม่เนียนนะ แล้วก็เอากลับมาวิเคราะห์กัน เพื่อที่จะเอามาอุดรอยรั่วในงานชิ้นต่อไป ไม่งั้นเราจะตามเขาไม่ทัน เราตั้งเป้าว่า เราอยากจะสู้กับซีรีส์จีน หรือซีรีส์เกาหลี ที่ตอนนี้เขาไปอวกาศกันแล้ว
พี่เต้ย
พี่ลิ้ม : สำหรับผม ผมเป็น Modeler ออกแบบตัวเหรา พอผมเห็นฟีดแบ็กที่คนเขาชอบตัวเหรากัน ผมก็ดีใจครับ เพราะว่าผมเหนื่อยกับตัวเหรามากเลยครับ (หัวเราะ)
พี่หนอด : ต้องเล่าว่า พี่ลิ้มต้องนั่งขึ้นโมเดลเกล็ดของเหราทีละเกล็ด ๆ
พี่ลิ้ม : ก็เพนต์กันทีละเกล็ดเลยครับ (หัวเราะ)
พี่เต้ย : นี่มันงานหัตถกรรมชัด ๆ คือเราคงไม่สามารถมานั่งอธิบายได้ว่าแต่ละขั้นตอนมันยากยังไง สิ่งที่เราทำได้มากที่สุดก็คือ ทำให้เต็มที่ อัดเต็มที่กับมัน
![พิภพหิมพานต์](https://www.beartai.com/wp-content/uploads/2021/04/Pic_alpha_03-ขนาดดั้งเดิม.jpg)
ตั้งแต่ ‘นาคี’ สิ่งที่เราเรียนรู้ก็คือ ถ้าเราเต็มที่ ใส่ใจกับมัน มันก็จะค่อย ๆ ทลายกำแพงของคนที่ยังคิดว่าซีจีไทยไม่สวย ซึ่งก็อาจจะเป็นการจุดประกายเล็ก ให้กับคนอื่น ๆ ได้
พี่เต้ย
จริง ๆ แล้วคนไทยที่เก่งด้านซีจี แต่ไปทำงานที่ House ต่างประเทศก็มีมากมายนะครับ แล้วเขาเห็นว่า ในเมืองไทยก็มีเฮาส์ซีจีที่กล้าทำตัวสัตว์ประหลาด กล้าทำตัวพญานาค เขาก็สนใจอยากจะกลับมาทำที่เมืองไทย อยากกลับมาพัฒนาวงการซีจีไทย มีออฟฟิศไหนรับบ้างไหม พอผมรู้เงินเดือนเขา ผมก็บอกเลยว่า “อ๋อ…งั้นอยู่ต่างประเทศไปก่อนก็ได้ครับ…” (หัวเราะ) ในไทยขออีกสักพักก่อนก็แล้วกัน
(อ่านหน้า 2 มุมมองเกี่ยวกับซีจีละครไทย คลิกที่นี่)
(อ่านหน้า 1 เบื้องหลังซีจีละคร ‘พิภพหิมพานต์’ คลิกที่นี่)
![พิภพหิมพานต์](https://www.beartai.com/wp-content/uploads/2021/04/พิภพหิมพานต์-04200.jpg)
ซีจีละครไทยในอดีต มักจะโดนล้อเรื่องคุณภาพของงาน พวกคุณคิดยังไงกับเรื่องนี้ และคิดว่าอะไรมันคือสาเหตุที่ทำให้ซีจีละครไทยเป็นแบบนั้น
พี่หนอด : อย่างแรกเลยคือ รู้สึกสงสารครับ (หัวเราะ) เพราะว่าจริง ๆ แล้ว คนทำซีจีทุกคนอยากให้งานออกมาดีหมด เพียงแต่ว่าไอ้งานที่เราทำ มันมีข้อจำกัดมากมาย ทั้งเรื่องเงิน เรื่องเวลา ฟุตเทจที่ถ่ายมา ทุกอย่างมันกดคุณภาพของซีจีให้ต่ำลงเรื่อย ๆ เวลาเราเห็นงานของคนอื่น ไม่ใช่ว่าเราจะรู้สึกว่า ทำไมออฟฟิศนี้ไม่เก่งเลย เราไม่ได้รู้สึกแบบนั้น เรารู้สึกว่าเขาต้องโดนอะไรมาเยอะแน่เลย ถึงได้ทำงานออกมาคุณภาพแบบนี้
จริง ๆ แล้ว ถ้าเฮาส์ซีจีทุกเฮาส์มีเงิน มีเวลา มีกระบวนการการถ่ายทำที่ซัปพอร์ต ก็สามารถทำงานออกมาดีได้ทุกเฮาส์ เพราะฝีมือคนไทยก็มีฝีมือเหมือนกันหมด
พี่หนอด
ก็เลยรู้สึกสงสารครับ แล้วก็สงสารตัวเองด้วย (หัวเราะทั้งวง)
![พิภพหิมพานต์](https://www.beartai.com/wp-content/uploads/2021/04/พิภพหิมพานต์-04197.jpg)
งานซีจีของไทย ณ เวลานี้ สู้กับต่างประเทศได้ไหม หรือยังมีอะไรที่ขาด
พี่หนอด : ด้วยความที่ในงานละคร เราอยู่ตรงปลายน้ำ แล้วเราโดนข้อจำกัด แถมยังโดนคำวิจารณ์ทุกอย่าง แต่ถ้าเป็นงานภาพยนตร์ หรือโฆษณา เขาจะมีงบประมาณ มีเวลามาให้ประมาณหนึ่ง งบประมาณเพิ่มขึ้น คนก็เพิ่มขึ้น เวลาต่อคนต่อช็อตก็เพิ่มขึ้น ทำให้ได้งานที่คุณภาพสูงขึ้นมา ถ้าลองสังเกตงานโฆษณาก็จะสวยเหมือนกันหมด ได้รางวัลในระดับสากลมากมาย
ส่วนถ้าถามว่าอะไรที่ขาด ก็เรื่องเงินนั่นแหละครับ เพราะว่าถ้ามีเงินสนับสนุน ก็สามารถทำงานที่มีคุณภาพสูงขึ้นเรื่อย ๆ ได้ ทุกวันนี้ที่เห็นว่าทำงานออกมาไม่ดี ไม่ใช่เพราะว่าเขาไม่เก่ง แต่เพราะว่าเขาไม่มีงบประมาณมาสนับสนุนให้คุณภาพสูงขึ้นได้
![พิภพหิมพานต์](https://www.beartai.com/wp-content/uploads/2021/04/พิภพหิมพานต์-04213.jpg)
นอกจากเงิน คิดว่าอะไรที่จะทำให้บุคลากรที่ทำซีจี หรือวงการซีจีไทยพัฒนาได้อีกบ้าง
พี่เต้ย : ก็คงเป็นเรื่องสกิลครับ เรื่องสกิลเป็นเรื่องของการฝึกฝนและความต่อเนื่อง การเจอโจทย์ปัญหาใหม่ ๆ อยู่ตลอด อย่างฮอลลีวูดหรือหนังเกาหลี เขาทำกันเป็นอุตสาหกรรม ปี ๆ หนึ่งเขามีหนังสไตล์แบบนี้อาจจะประมาณ 100 เรื่อง แน่นอนว่าความต่อเนื่องที่ศิลปินจะได้แก้โจทย์ ได้ขัดเกลาก็มีบ่อย ทำให้บุคลากรเจอโจทย์อะไรมา เขาสามารถสร้างสรรค์ได้หมด
แต่ของไทย ปีหนึ่งอาจจะมีนายทุนที่กล้าทำโพรเจกต์แบบนี้สักปีละเรื่องก็แจ๋วแล้ว หรืออย่างหนังที่เป็นแนวแฟนตาซี แนวสัตว์ประหลาด ก็แทบจะนับเรื่องได้เลย แล้วส่วนมากจะเจ๊ง ถ้าให้ตอบตรง ๆ ก็คือ ในไทยมันไม่มีความต่อเนื่องที่จะทำให้คนทำซีจีได้ฝึกสเกลตรงนี้
พิสูจน์อักษร : สุชยา เกษจำรัส