Your Name (君の名は / Kimi no Na wa) เป็นหนังเรื่องล่าสุดใต้บัญชาการของ มาโกโตะ ชินไค ซึ่งเป็นผู้กำกับอนิเมชั่นที่มีแฟนแน่นเหนียวและรอคอยผลงานสุดวิจิตรของเขาอยู่ทั่วโลกทีเดียว สำหรับหนังเรื่องใหม่นี้ก็ได้กลายเป็นอนิเมชั่นสุดฮิตในบ้านเกิดแดนปลาดิบ ที่วิ่งทำลายสถิติรายได้เป็นว่าเล่นไปเรียบร้อยแล้วในขณะนี้ จากการคงอันดับหนึ่งในตารางหนังทำเงินถึง 9 สัปดาห์ต่อเนื่องนับตั้งแต่เปิดตัวในสัปดาห์แรก นับจากช่วงปลายเดือนสิงหาคมเรื่อยมาจนถึงปลายเดือนตุลาคม และเพิ่งเสียแชมป์ไปให้ Death Note: Light Up the New World (กดลิงค์อ่านรีวิวเดธโน้ตได้ที่นี่) ที่เพิ่งเข้าใหม่ แต่กระนั้นมันก็ทำเงินไปถึง 164,077,718 ดอลล่า (อ้างอิง Box Office Mojo) และคงไม่หยุดเพียงเท่านี้เพราะยังไม่มีรายรับจากนอกบ้านตัวเองที่จะเริ่มออกฉายในเดือนนี้เป็นต้นไปในหลายประเทศเลยด้วย
เรื่องราวของเด็กหนุ่มเด็กสาว ตลอดจนความรักที่ถูกบางอย่างกั้นไว้ ยังเป็นความสนใจของ ชินไค เฉกเช่นเคย เช่นเดียวกับหนังก่อนหน้าอย่าง The Place Promised in Our Early Days (2004) หรือ 5 Centimeters Per Second: A Chain of Short Stories About Their Distance (2007) และรวมไปถึง Voices of a Distant Star (1999) หนังเรื่องแรกที่ลงมือทำเองทุกส่วนของเขาด้วย เรียกว่าน่าจะกลายเป็นลายเซ็นสไตล์หนังเหงา บวกความรักที่ห่างไกลไปแล้ว
และสำหรับ Your Name นี้ก็เช่นกัน มันพูดถึงเรื่องของ มิตซึฮะ เด็กสาวมัธยมปลายในหมู่บ้านกลางหุบเขาที่ต้องสานต่อประเพณีคร่ำครึของครอบครัวในการเป็นมิโกะของศาลเจ้า เธอมักใฝ่ฝันการมีชีวิตในเมืองหลวงที่ได้ใช้ชีวิตวัยรุ่นอย่างเต็มที่ อีกด้านหนึ่ง ทาคิ เด็กหนุ่มที่อาศัยในโตเกียว เขามีชีวิตที่ไม่ได้มีเป้าหมายอะไรพิเศษ เรียนและทำงานพิเศษ ได้แอบรักรุ่นพี่ที่ทำงาน ในขณะเดียวกันก็ใฝ่ฝันถึงการผจญภัยและการได้พบใครสักคนในความทรงจำที่เลือนรางเหลือเกิน
หนังเปิดตัวด้วยลักษณะเอ็มวีที่สลับภาพสรุปแบบเร็วๆ ให้เห็นบรรยากาศและคำใบ้ต่างๆก่อนที่เราจะเข้าใจเนื้อเรื่องทั้งหมด ตรงนี้เราได้เห็นแล้วว่าเด็กหนุ่ม หญิงสาวนั้นแทบจะไม่ได้พบกันเลย และดูเหมือนยิ่งนานวันในเมื่อเติบโตเข้าวัยทำงานต่างก็แทบจะหายไปจากกันและกันจริงๆ ซึ่งการใช้เอ็มวีแบบนี้ก็กลายเป็นอีกลายเซ็นของชินไคไปแล้ว หลังจากใน 5 Centimeters Per Second เขาใช้เป็นไคลแม็กซ์ที่เล่าสรุปทุกอย่างจนเป็นฉากที่ตราตรึงใจผู้ชม และส่งให้ตัวเพลง One more time, one more chance ของ มาซาโยชิ ยามาซากิ ดังเป็นพลุแตกมาแล้ว
งานด้านภาพที่เป็นจุดขายของเรื่องรอบนี้ชินไคยังทำออกมาได้ตะลึงเช่นเดิมครับ โดยเฉพาะพวกฉากวิว และท้องฟ้า แสงธรรมชาติต่างๆ นี่น่าจะเป็นจุดจำของแฟนๆหนึ่งที่มีต่อเขาทีเดียว เพราะภาษาภาพพวกนี้ทั้งสวยและเปลี่ยวเหงา ทั้งอ่อนช้อยและยิ่งใหญ่ไปในเวลาเดียวกัน ด้านการออกแบบคาแรกเตอร์ที่เป็นจุดอ่อนใหญ่ในงานชิ้นแรกๆของชินไค มารอบนี้ก็ได้ มาซาโยชิ ทานากะ ที่มีผลงานจากอนิเมชั่นแสนซาบซึ้งเรื่อง Ano Hana มาช่วยออกแบบตัวละครต่างๆให้ ทำให้งานมีความสมบูรณ์มากๆ เรียกว่าภาษาภาพ งานภาพหายห่วงเลยล่ะ
มาพูดถึงงานเพลงที่เป็นภาษารักสำคัญในหนังแนวนี้กันบ้างครับ งานนี้ได้วงชื่อดังของญี่ปุ่นอย่าง RADWIMPS ซึ่งเป็นวงที่พูดว่าร๊อกก็ไม่ถูกเสียทีเดียว เพราะใช้เทคนิกผสมผสานหลายแนวเพลงทั้ง แจ๊ส ฮิปฮอป รวมถึงแนวพื้นบ้านญี่ปุ่นมารวมกัน นอกจากนี้พวกเขายังเด่นในเรื่องของเนื้อเพลงที่มีทั้งความเป็นปรัชญาและความหวานโรแมนติกอยู่ด้วยกันด้วย ไม่แปลกใจเลยหนังเรื่องนี้ได้วงนี้มาทำเพลงให้เพราะเรียกว่าลงตัวในทุกสัดส่วน ซึ่งเพลงที่เราได้ฟังในหนังก็พิสูจน์ชัดเลยครับว่า โคตรดี ทั้งเพลงธีมอย่าง Zen Zen Zense หรือจะเป็นเพลง Sparkle และที่เด็ดดวงที่สุดก็ต้องยกให้เพลงสุดหวานที่เป็นบทสรุปของหนังอย่าง Nandemonaiya ที่ทำได้ในระดับ One more time, one more chance เลยล่ะครับ น่าจะมีแฟนวงนี้เพิ่มขึ้นมากทีเดียวหลังชมหนังเรื่องนี้