เมื่อ 30 ปีที่แล้ว เป็นปีที่ ‘Pulp Fiction’ (1994) ภาพยนตร์อาชญากรรมสุดระห่ำที่ไม่เหมือนใคร ผลงานกำกับลำดับที่ 2 ของผู้กำกับสายระห่ำ เควนทิน ทารันทิโน (Quentin Tarantino) ที่เขียนบทร่วมกับ โรเจอร์ อาเวรี (Roger Avary) ที่ได้เข้าชิงรางวัลออสการ์ 7 สาขา และได้รับรางวัลสาขาบทภาพยนตร์ดั้งเดิมยอดเยี่ยม จากเรื่องราวที่ว่าด้วยผู้คนหลากหลายชีวิตที่เกี่ยวพันกัน ทั้งคู่หูมือปืนที่ถูกจ้างให้มาคุ้มกันภรรยามาเฟีย, ผัวเมียโจรกระจอกที่ตัดสินใจปล้นร้านอาหาร, นักมวยผู้แหกแผนล้มมวยจนเป็นเรื่อง ซึ่งเรื่องราวทั้งหมดที่แม้จะดูไม่เกี่ยวข้องอะไรกันเลย แต่กลับเกี่ยวพันยุ่งเหยิงจนกลายเป็นเรื่องขึ้นมา

แม้ตัวหนังจะมีสถานะเป็นหนังอินดี้ แต่ความไม่เหมือนใครทั้งการเล่าเรื่องที่แหวกขนบตามสไตล์ทารันทิโน และความโหดดิบของเรื่องราว ส่งให้ตัวหนังโด่งดังขึ้นมาเทียบชั้นกับหนังบล็อกบัสเตอร์ชั้นดีในเวลานั้นของฮอลลีวูดได้อย่างเต็มภาคภูมิ ทั้งการคว้ารางวัลปาล์มทองคำ (Palme d’Or) จากเทศกาลภาพยนตร์เมืองคานส์ (Cannes Film Festival) ประเทศฝรั่งเศส และมันก็ถูกยกให้เป็นหนังคัลต์ในตำนานที่คอหนังไม่ควรพลาด และส่งให้ทารันทิโนกลายเป็นผู้กำกับดาวรุ่งอีกคนของวงการหนังในทันที

ล่าสุด ในงานเทศกาลภาพยนตร์ TCM Classic Film Festival 2024 ช็อตที่หลายคนประทับใจอย่างมากก็คือ การรียูเนียนอีกครั้งของ 4 นักแสดงจากหนังเรื่องนี้ ทั้ง จอห์น ทราโวลตา (John Travolta) เจ้าของบท วินเซนต์ เวกา, แซมมวล แอล แจ็กสัน (Samuel L. Jackson) เจ้าของบท จูลส์ วินน์ฟีลด์, ฮาร์วีย์ ไคเทล (Harvey Keitel) เจ้าของบท วินสตัน วูล์ฟ และ อูมา เธอร์แมน (Uma Thurman) เจ้าของบท มีอา วอลเลซ เพื่อฉลองครบรอบ 30 ปีที่หนังเรื่องนี้เข้าฉาย

Uma Thurman John Travolta Pulp Fiction (1994)

ทราโวลตา 1 ในนักแสดง ได้มีโอกาสสนทนาในเทศกาลนี้ โดยเขาได้เปิดเผยช่วงเวลาที่เขาตัดสินใจเซ็นสัญญาเพื่อรับบทเป็น วินเซนต์ เวกา รวมทั้งเหตุผลที่ทำให้เขาตกลงปลงใจเซ็นสัญญารับบทนี้ ซึ่งทั้งหมดเกิดขึ้นจากการที่ทราโวลตาได้พบเจอกับทารันทิโน และประทับใจในตัวของผู้กำกับรุ่นใหม่วัยอ่อนกว่าเขาจากการพบกันเพียงไม่นาน

“ในตอนแรก ผมใช้เวลาอยู่กับเควนทินเกือบ 24 ชั่วโมง เพราะผมได้รับโทรศัพท์จากตัวแทนโทรบอกผมว่า ‘มีผู้กำกับหน้าใหม่ที่เคยกำกับ ‘Reservoir Dogs’ (1992) มาก่อน แล้วเขาก็อยากเจอคุณมาก เพราะคุณเป็นนักแสดงคนโปรดของเขา และเขาก็อยากจะทำหนังกับคุณด้วยน่ะ'”

“ผมก็เลยเดินทางไปอะพาร์ตเมนต์เลขที่ 1236 เครสเซนต์ ไฮต์ส บูเลอวาร์ด (Crescent Heights Boulevard) ในฮอลลีวูด และผมก็นึกได้ว่า ‘ที่นี่มันคุ้นมากเลยว่ะ’ และผมก็เคาะประตูบ้านเขาแล้วบอกว่า ‘ไม่ต้องบอกผมนะ ผมเดาว่าข้างในมีห้องนั่งเล่น และถัดไปก็มีห้องครัวอยู่ติดกัน แล้วขวามือก็เป็นห้องนอนด้วยใช่ไหม ?’ เขาถามว่า ‘คุณรู้ได้ยังไงเนี่ย ? ‘ ผมก็เลยบอกไปว่า ‘ผมเคยอยู่ที่นี่มาก่อน (ตอนเข้าฮอลลีวูดใหม่ ๆ ) น่ะ’ ดังนั้นเราจึงเริ่มต้นทุกอย่างได้ด้วยความราบรื่น”

แต่แทนที่ทารันทิโนจะชวนเขาคุยเรื่องเกี่ยวกับการแสดงหรือบทบาท แต่เขากลับชวนทราโวลตา นักแสดงในดวงใจของเขามาเล่นบอร์ดเกมที่ดัดแปลงมาจากหนังดัง ๆ ในอดีตยุครุ่งเรืองของเขาหลายต่อหลายเกม ทั้ง ‘Saturday Night Fever’ (1977), ‘Grease’ (1978) และซิตคอม ‘Welcome Back, Kotter’ (1975–1979) เสียอย่างนั้น

ซึ่งทราโวลตาก็ยอมใช้เวลาเล่นเกมกับเขาแต่โดยดี แต่เขาก็อยากทดสอบอะไรบางอย่างกับทารันทิโนด้วยเช่นกัน นั่นก็คือ การขอดูบัญชีธนาคารเพื่อดูความเคลื่อนไหว และวิเคราะห์สถานะทางการเงินของผู้กำกับมือใหม่ไฟแรงคนนี้

“ตอนนั้นผมคิดว่า โอเค ผมยังไม่รู้จักไอ้หนุ่มคนนี้เท่าไหร่เลย ผมว่าผมจำเป็นต้องรู้ว่าสถานะทางการเงินของเขาเป็นยังไงบ้าง ผมเลยปรึกษากับเขาเรื่องการเงิน ผมบอกเขาว่า ‘ตอนนี้นายกำลังจะเป็นศิลปินหน้าใหม่แล้ว นายต้องมีเงินสำรองบ้างนะ ไหนบอกหน่อยสิว่าตอนนี้นายมีเงินอยู่เท่าไหร่วะ’ แล้วผมก็ตรวจดูบัญชี ตรวจทุกอย่างเลย และผมก็เลยรู้สึกโล่งใจขึ้นมานิด ๆ “

ดูเหมือนจะเป็นแค่การล้วงข้อมูลส่วนตัวเฉย ๆ แต่ไม่น่าเชื่อว่า สุดท้ายแล้ว ทารันทิโนก็เห็นอะไรในตัวของทราโวลตา ที่ทำให้ผู้กำกับโยนบทจากหนัง 2 เรื่องให้เขาเลือก นั่นก็คือหนังแวมไพร์ ‘From Dusk till Dawn’ (1996) ที่เขาเขียนบทให้ โรเบิร์ต รอดริเกวซ (Robert Rodriguez) กำกับ จนสุดท้าย เขาก็เลือกบทมือปืนนักเต้น

John Travolta Samuel L. Jackson in Pulp Fiction (1994)

“1 สัปดาห์ถัดมา เขาเสนอบทวินเซนต์ให้กับผม ผมเลยถามว่า ‘ทำไมล่ะ ? คุณมองเห็นอะไรในตัวผมเหรอ ถึงได้ทำให้คุณคิดว่าผมเล่นบทนี้ได้ ?’ เขาบอกว่า ‘เพราะว่าคุณเป็นคนช่วยเหลือผมด้านการเงิน คุณเป็นคนที่มีทักษะในการวิเคราะห์ ทฤษฏี และแนวคิดปรัชญา ที่ผมต้องการสำหรับตัวละครตัวนี้ ผมต้องการให้เขาคอยคิดไตร่ตรองเกี่ยวกับทุกอย่างที่เขาต้องเผชิญ’ ผมก็เลยได้บทนั้นมานั่นแหละครับ”

แต่เดิมแล้ว ทารันทิโนต้องการแคสต์นักแสดงในดวงใจอีกคนอย่าง ไมเคิล แมดเซน (Michael Madsen) ผู้รับบทเป็นมิสเตอร์บราวน์ ใน ‘Reservoir Dogs’ มารับบทนี้ แต่คิวของแมดเซนไปชนกับหนังเรื่อง ‘Wyatt Earp’ (1994) จนเขาตัดสินใจเลือกทราโวลตาให้รับบทนี้ แต่คนที่ขัดขวางเอาไว้คือ ฮาร์วีย์ ไวน์สตีน (Harvey Weinstein) ผู้บริหารสตูดิโอ Miramax ในเวลานั้นที่ไม่อยากได้ทราโวลตาที่อยู่ในช่วงขาลงมารับบทนี้เด็ดขาด

ตัวแทนของทารันทิโนถึงขนาดทำหนังสือข้อตกลงไปถึงไวน์สตีนเกี่ยวกับหนังเรื่องนี้ โดยทางสตูดิโอยอมตกลงตามข้อเรียกร้อง ยกเว้นก็แต่การระบุชื่อทราโวลตาให้ได้รับบทนี้ ในขณะที่ไวน์สตีนเองก็ถึงกับบอกว่า อยากได้นักแสดงเบอร์ใหญ่อย่าง แดเนียล เดย์-ลูอิส (Daniel Day-Lewis) หรือใครมารับบทนี้ก็ได้ แต่ต้องไม่ใช่ทราโวลตา

ในขณะที่ฝั่งของทารันทิโนก็ไม่ยอม และตอนนั้นก็มีสตูดิโอผู้จัดจำหน่ายเจ้าอื่น ๆ รออยู่หากดีลนี้ล้ม จนสุดท้าย ทราโวลตาก็ได้รับบทบาทนี้ ที่ส่งให้เขากลับมาแจ้งเกิดในฮอลลีวูดอีกครั้งอย่างงดงาม และตอกย้ำฝีมือด้วยการได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลออสการ์ สาขานักแสดงนำชายยอดเยี่ยมเป็นครั้งที่ 2 รวมทั้งรางวัลลูกโลกทองคำ และรางวัล BAFTA รวมทั้งฉากที่เขาแข่งเต้นรำในคลับคู่กับเธอร์แมน ก็กลายมาเป็นไอคอนในโลกภาพยนตร์ในเวลาต่อมา