อัลเฟรด โมลินา (Alfred Molina) นักแสดงภาพยนตร์ ซีรีส์ และละครเวทีชาวอังกฤษ-อเมริกัน เชื้อสายสเปน-อิตาลีรุ่นใหญ่วัย 70 ปี ที่เราคุ้นหน้าคุ้นตาจากบทบาท ดร. ออตโต อ็อกเทเวียส (Dr. Otto Octavius) หรือ ด็อกเตอร์อ็อกโทปุส (Doctor Octopus) วายร้ายตัวฉกาจใน ‘Spider-Man’ ของ Sony รับบทนี้เป็นครั้งแรกใน ‘Spider-Man 2’ (2004) ที่ทำให้เขากลายมาเป็นที่รู้จักมากขึ้น และหวนกลับมารับบทนี้อีกครั้งใน ‘Spider-Man: No Way Home’ (2021) ที่ทำให้หลายคนชื่นชอบวายร้ายผู้นี้มากขึ้นไปอีก

แต่กว่าที่เขาจะมาถึงจุดนี้ โมลินาเคยมีชีวิตที่ยากลำบากมาก่อน เขาเติบโตมาในครอบครัวผู้อพยพในย่านแพดดิงตัน (Paddington) กรุงลอนดอน พ่อชาวสเปนของเขาเป็นบริกรในร้านอาหาร ส่วนแม่ชาวอิตาเลียนเป็นพนักงานทำความสะอาด เขาเติบโตมาในชุมชนของชนชั้นแรงงานในย่านน็อตติงฮิลล์ (Notting Hill)

จนกระทั่งเขาได้มีโอกาสเข้าเรียนด้านการแสดงใน Guildhall School of Music and Drama และเข้าเป็นสมาชิกของชมรมละครเวที National Youth Theatre ก่อนจะเริ่มมีผลงานการแสดงในอีกหลากหลายรูปแบบในเวลาต่อมา

หลังจากกลับมาปรากฏตัวใน ‘Spider-Man: No Way Home’ ตอนนี้เขาเองกำลังจะหวนกลับไปแสดงละครบรอดเวย์อีกครั้งในเรื่อง ‘Uncle Vanya’ (2024) โมลินาได้มาให้สัมภาษณ์และหวนรำลึกถึงผลงานอันโดดเด่นในอดีตของเขา ในคลิป YouTube ของ Vanity Fair จนถึงตอนท้ายคลิป ที่เขาได้เปิดใจเล่าช่วงเวลาที่เจ็บปวดในอดีต

Alfred Molina Raiders of the Lost Ark 1981

เพราะการเลือกตามฝันเป็นนักแสดงที่เต็มไปด้วยความไม่แน่นอน และปฏิเสธความก้าวหน้าในหน้าที่การงานที่พ่อเขาเสนอให้ในยามยาก ทำให้เขาถึงกับผิดใจกับพ่อ และคิดว่าพ่อไม่เคยแยแสความฝัน และความรักในอาชีพนักแสดงของเขาเลย

“ตอนที่ผมยังเด็กมาก ๆ พ่อของผมให้ผมเข้าไปทำงานเป็นบริกรของร้านอาหารที่เขาทำงานอยู่ และผมเองก็ทำงานเสิร์ฟอาหารได้ดี จนถึงขั้นที่ผู้บริหารของร้านอาหารเสนอให้ผมได้ฝึกอบรมในตำแหน่งที่สูงขึ้นกว่าเดิมเป็นระยะเวลา 2 สัปดาห์ แต่สุดท้ายผมก็ปฏิเสธเพราะผมได้งานแสดงไปแล้ว”

“จนกระทั่งพ่อถามผมว่า ‘แล้วไอ้งานแสดงนี่พวกเขาจ่ายเงินให้ลูกเท่าไหร่เหรอ’ ผมก็เลยบอกไปว่า ‘ผมได้ค่าจ้างตามเกณฑ์ของสหภาพแรงงาน ก็ประมาณ 15 ปอนด์ต่อสัปดาห์น่ะครับ'”

“พ่อผมตอบกลับมาว่า ‘เดี๋ยวนะ แกทำงานที่ร้านอาหารนี้ได้สัปดาห์ละ 30-35 ปอนด์เลยนะ แต่แกดันไปเลือกทำงานที่ได้สัปดาห์ละ 15 ปอนด์อย่างนั้นน่ะเหรอ’ ผมบอก ‘ใช่ครับพ่อ’ แล้วเขาก็มองผมแบบสงสัยอย่างกับคนแปลกหน้าเลย เขามองเหมือนกับไม่เคยรู้จักผมมาก่อนอย่างนั้นแหละ”

"ตอนนั้นผมทำได้แค่พูดออกไปว่า 'ก็มันเป็นสิ่งที่ผมรักน่ะพ่อ' และเขาก็ไม่เคยเข้าใจเลย ผมทำให้พ่อผิดหวังมาก ๆ ผมคิดว่าถ้าพ่อยังมีชีวิตอยู่ ผมคิดว่าเขาคงรู้เรื่องนี้ได้ว่าสิ่งที่ผมพยายามมาไม่ได้สูญเปล่า" (ร้องไห้)

หลังจากเคี่ยวกรำงานแสดงละครเวทีเวสต์เอนด์มาอย่างยาวนาน ในที่สุด โมลินาก็ได้ข้ามฝั่งมาโลดแล่นบนโทรทัศน์ด้วยการรับบทในซิตคอม ‘The Losers’ (1978) ของช่อง ITV ก่อนจะเริ่มข้ามฝั่งมารับบทสมทบเป็น ซาทีโป (Satipo) ไกด์และหัวขโมยชาวเปรู เคียงข้างกับแฮร์ริสัน ฟอร์ด (Harrison Ford) ใน ‘Raiders of the Lost Ark’ (1981) ปฐมบทเรื่องราวของนักผจญภัย อินเดียนา โจนส์ (Indiana Jones)

“พ่อกับผมไม่เคยคุยกันเรื่องงานของผมเลยจริง ๆ นะครับ เขาไม่ได้เป็นคนชอบโทรมาถามไถ่ว่า ‘เป็นไงบ้างลูก ตอนนี้กำลังทำอะไรอยู่’ เราไม่เคยได้มีความสนิทสนมอะไรทำนองนั้นเลย”

Salma Hayek and Alfred Molina in Frida (2002)

แม้โมลินาจะพามาถึงจุดที่เขาใช้คำว่าไม่สูญเปล่าได้จริง ๆ แต่สิ่งที่เกิดขึ้นก็คือ ความสัมพันธ์ระหว่างเขากับเอสเตบัน โมลินา (Esteban Molina) ผู้เป็นพ่อก็ยังห่างเหิน จนกระทั่งเขาเองก็เริ่มมีผลงานการแสดงภาพยนตร์เป็นที่รู้จักมากขึ้น ตั้งแต่หนังนอกกระแส ‘Magnolia’ (1999), ‘Chocolat’ (2000), ‘Frida’ (2002) และข้ามฝั่งสู่หนังบล็อกบัสเตอร์ครั้งแรกใน ‘Spider-Man 2’ รวมทั้ง ‘The Da Vinci Code’ (2006)

โมลินาเคยเล่าถึงพ่อกับ The Guardian ถึงความสัมพันธ์ของเขากับพ่อว่า ยังคงเป็นไปได้ด้วยดี เขายังคงเคารพพ่อที่ทำงานหนักมาตลอดชีวิตอยู่เสมอ แต่เขากับพ่อก็นับว่ายังห่างเหิน แต่ที่เขาเสียใจอย่างมากก็คือ เขาไม่เคยได้คืนดีกับพ่อของเขาเลย จนกระทั่งเสียชีวิตในปี 1999 เขาถึงได้ตระหนักว่า พ่อของเขาใส่ใจและภูมิใจกับสิ่งที่ลูกชายของเขาเป็นมากถึงขนาดไหน

“ตอนที่พ่อของผมจากไป ผมเดินทางไปร่วมงานศพที่สเปน ผมได้คุยกับแม่เลี้ยงของผมที่ตอนนี้เป็นภรรยาหม้าย เธอลากกระเป๋าใบใหญ่ของพ่อมาให้ผม แล้วในนั้นก็เต็มไปด้วยข่าวของผมที่ตัดมาจากหนังสือพิมพ์เอย รูปถ่ายจากนิตยสารเอย รวมทั้งจดหมายที่ผู้คนเขียนมาบอกเขาว่าได้เห็นอัลเฟรโด (Alfredo – ชื่อจริงของโมลินาก่อนเข้าวงการ) ในหนัง”

“ซึ่งพ่อของผมเก็บมันเอาไว้ทั้งหมดเลย แล้วพ่อก็ไม่เคยบอกผม แม่เลี้ยงถามผมว่า ลูกจะเอาไปเก็บไว้เองไหม ผมเองก็ทำตัวไม่ถูกเหมือนกัน”

“มันเลยเป็นเหตุผลที่ผมต้องพยายามทำดีกับลูก ๆ ทุกคนของผม ไม่ว่าจะทั้งลูกสาวแท้ ๆ หรือลูกชายที่เป็นลูกบุญธรรม และลูกติดของภรรยา สิ่งที่ผมจะทำได้ก็คือให้กำลังใจ และบอกว่าพวกเขาเก่งขนาดไหน นั่นแหละครับเท่าที่ผมจะทำได้”