คำเตือน: บทความนี้เปิดเผยเนื้อหาบางส่วนของภาพยนตร์ ‘The Witch’ (2015), ‘The Menu’ (2022), ‘The Northman’ (2022) และ ‘Furiosa A Mad Max Saga’ (2024)


ถ้าพูดถึงนักแสดงรุ่นใหม่ที่ได้รับการยอมรับในฝีมือ ก็คงหนีไม่พ้นนักแสดงสาว อันยา เทเลอร์-จอย (Anya Taylor-Joy) ที่ตอนนี้เธอกำลังมีผลงานการรับบทเป็นฟูริโอซ่า (Furiosa) วัยสาว ในหนัง ‘Furiosa: A Mad Max Saga’ ซึ่งถือเป็นการพลิกบทบาท ฉีกภาพจากสาวสวยพราวเสน่ห์ มารับบทแอ็กชันเต็มสูบครั้งแรกได้อย่างน่าประทับใจไม่น้อย

ส่วนหนึ่งที่ทำให้การแสดงอันหลากหลายของเธอเป็นที่ยอมรับก็คือ ความพยายามสอดแทรกแนวคิดสตรีนิยมลงไปในบทบาทที่เธอแสดง และมันก็สะท้อนออกมาผ่านสิ่งที่เรียกว่า ‘ความโกรธเกรี้ยวของผู้หญิง’ ที่เกิดขึ้นเพราะเธอไม่ชอบให้ตัวละครที่เธอแสดงมักจะแสดงความอ่อนแอผ่านการร้องไห้ และเธอก็มักจะโน้มน้าวและต่อสู้เพื่อให้ตัวละครของเธอได้มีจังหวะปลดปล่อยความโกรธเกรี้ยวออกมาในหนังหลาย ๆ เรื่อง ตามที่เธอได้เล่าไว้ในส่วนหนึ่งของบทสัมภาษณ์ฉบับล่าสุดของนิตยสาร GQ ประเทศอังกฤษ

“ฉันเองเริ่มมีชื่อเสียงขึ้นมานิดหน่อยในเรื่องของการต่อสู้เพื่อความโกรธเกรี้ยวของผู้หญิง ซึ่งถือเป็นเรื่องที่แปลกมาก ๆ คือฉันไม่ได้ต้องการจะส่งเสริมความรุนแรงนะคะ แต่ฉันกำลังส่งเสริมให้ผู้หญิงถูกมองอย่างมีความเป็นคนมากขึ้น ไม่จำเป็นที่จะต้องมีรีแอ็กชันที่สวยงามหรือเรียบร้อยเสมอไป”

Anya Taylor-Joy 'Furiosa A Mad Max Saga'

เทเลอร์-จอยเล่าว่า ครั้งแรกที่เธอพยายามสนับสนุนแนวคิด ‘ความโกรธเกรี้ยวของผู้หญิง’ อย่างที่เธอต้องการก็คือการรับบทเป็น โธมัสซิน (Thomasin) ในหนังสยองขวัญซาตานของค่าย A24 อย่าง ‘The Witch’ (2015) ของผู้กำกับ โรเบิร์ต เอ็กเกอร์ส (Robert Eggers) ซึ่งเป็นผลงานการแสดงหนังเรื่องแรกของเธอ

ตามบทแล้วในฉากนี้โธมัสซินจะต้องร้องไห้เมื่อเธอถูกขับไล่ เพราะเธอถูกกล่าวหาว่าเป็นปีศาจร้ายที่ปรากฏตัวอยู่ภายในบ้าน ซึ่งเทเลอร์-จอยพยายามร้องไห้ แต่น้ำตาก็ไม่ยอมไหลออกมา จนนำไปสู่ความสงสัยว่าทำไมเธอจึงต้องร้องไห้ในฉากนี้ด้วย

“ในที่สุด ฉันก็พูดออกไปว่า ‘เธอโกรธนะ เธอแ-่งโคตรจะโมโหเลย’ เธอถูกตำหนิอยู่ครั้งแล้วครั้งเล่า และเธอก็ไม่ได้ทำอะไรเลย เราควรจะให้เธอหยุดร้องไห้ได้แล้ว”

จนสุดท้าย เอ็กเกอร์สก็ยอมปรับบทบาทให้โธมัสซินแสดงความโกรธเกรี้ยวที่เธอถูกตีตราให้เป็นแม่มด ท่ามกลางสภาพสังคมที่การล่าแม่มดที่เกิดขึ้นกับครอบครัวของเธอเอง จนนำมาสู่บทสรุปในหนัง เมื่อโธมัสซินได้กลายเป็นอิสระในท้ายที่สุด “ฉันรู้สึกมีความสุขมากสำหรับเธอ โบยบินไปเถอะสาวน้อย จงทำสิ่งที่เธอต้องทำเถอะ จงใช้ชีวิตอย่างโอชะ เธอได้รับมันแล้ว และโลกนี้ไม่เหมาะกับเธออีกต่อไป มันเป็นตอนจบของหนังที่ฉันชอบมากค่ะ”

เทเลอร์-จอยทำแบบเดิมอีกครั้งในหนังทริลเลอร์จิกกัดวงการอาหาร ‘The Menu’ (2022) เมื่อตัวละครมาร์โกต์ที่เธอแสดง จะต้องมีหยดน้ำตาไหลอาบแก้ม เมื่อตอนที่เธอพบว่าไทเลอร์ คู่เดตของเธอจงใจพาเธอไปรับประทานอาหารค่ำในร้านอาหารที่มีเจตนาอันลึกลับที่หลอกล่อให้แขกเหล่านั้นถูกฆาตกรรม

“ฉันเองแบบว่า ‘นี่เราอยู่ในโลกแบบไหนกันเนี่ย ?’ ฉันเลยอธิบายว่า งั้นเอาแบบนี้ ถ้าให้ฉันกระโดดขึ้นไปบนโต๊ะ แล้วพยายามจะฆ่าเขาด้วยมือเปล่าอะไรแบบนี้ โอเคไหมคะ”

เทเลอร์-จอยและเอ็กเกอร์ส โคจรมาร่วมงานอีกครั้งในหนังมหากาพย์ ‘The Northman’ (2022) ในบทนี้ เธอรับบทเป็นโอลกา (Olga) ซึ่งเธอก็ได้เสนอไอเดียให้โอลกาแสดงความโกรธเกรี้ยว เมื่อเธอกำลังจะถูกบังคับให้นอนกับผู้ชายโดยที่เธอไม่ได้ยินยอม เทเลอร์-จอยเล่าว่า เธอต้องครุ่นคิดอย่างหนักถึงสถานการณ์ที่ผู้หญิงจะทำทุกวิถีทางเพื่อขัดขืนและป้องกันตัวจากเหตุการณ์เหล่านั้น

เอ็กเกอร์สเล่าถึงฉากนั้นว่า “เป็นความคิดของอันยา ที่จะให้โอลกาเอาเลือดประจำเดือนของเธอมาราดที่มือแล้วตบหน้าฟยอลเนียร์ (Fjölnir) ซึ่งสุดท้ายแล้วมันก็เป็นตัวเลือกที่ ‘ดูแข็งแกร่ง ท้าทาย และน่าจดจำมาก ๆ'”

และใน ‘Furiosa A Mad Max Saga’ เธอเองก็พยายามจะเสนอไอเดียแห่งความโกรธเกรี้ยวเอาไว้ โดยเฉพาะในฉากที่เธอต้องบุกไปแก้แค้นวอร์ลอร์ดจอมวิปลาส ดีเมนทัส (Dementus) เธอเสนอให้เก็บฉากที่ฟูริโอซ่าตัดลิ้นของดีเมนทัส เพื่อแสดงออกถึงฉากอันคลั่งแค้น แต่สุดท้ายฉากนี้ก็ถูกตัดออกไป และลิ้นปลอมของดีเมนทัสที่ทีมงานพร็อปประดิษฐ์ขึ้น ก็กลายมาเป็นของที่ระลึกของเทเลอร์-จอยในที่สุด

Anya Taylor-Joy 'Furiosa A Mad Max Saga'

แม้ว่าเธอเองจะพยายามสนับสนุนการแสดงออกถึงความโกรธเกรี้ยวของผู้หญิงในหนังหลาย ๆ เรื่อง แต่เธอก็ออกตัวว่า ปกติแล้วเธอไม่ได้เป็นคนที่มีนิสัยขี้โมโหแต่อย่างใด

“แม้ฉันจะเป็นคนที่สนับสนุนความโกรธเกรี้ยวของผู้หญิง แต่ฉันเป็นคนที่ไม่เคยโกรธเลยค่ะ ตอนที่โกรธครั้งสุดท้ายนั่นก็นานมากแล้ว และเป็นความโกรธในพฤติกรรมของคนอื่นด้วย ฉันมักจะนึกเอาไว้เสมอว่า ‘ฉันทำอะไรผิดไปแน่ ๆ’ ถ้าคุณปฏิบัติตัวไม่ดีต่อฉัน ก็เพราะว่าฉันนี่แหละที่เป็นตัวปัญหา”

“และฉันก็รู้สึกขอบคุณฟูริโอซ่าด้วย เพราะมีช่วงหนึ่งที่ฉันเริ่มโกรธตัวเอง แล้วสามีของฉันก็บอกว่า ‘ผมไม่เคยเห็นคุณเป็นแบบนี้มาก่อน’ แล้วฉันก็แบบว่า ‘ฉันดีใจมาก ! ดีใจที่ตัวฉันเองโกรธได้ ! ถ้ามีใครมาเหยียบเท้าฉันตอนนี้ ฉันก็จะแบบ ‘เฮ้ย-ึงเป็นเ-ี้ยไรวะ !’ และนั่นก็ทำให้ฉันรู้สึกดีมาก ๆ”