อุทกภัยเป็นภัยธรรมชาติที่ไม่มีใครอยากให้เกิด แต่เมื่อเกิดขึ้นแล้วมักนำมาซึ่งความเสียหายใหญ่หลวงต่อชีวิตและทรัพย์สิน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง “รถยนต์” ที่อาจต้องเผชิญกับสถานการณ์น้ำท่วม ตั้งแต่ระดับเล็กน้อยไปจนถึงการจมน้ำทั้งคัน ซึ่งก่อให้เกิดความกังวลว่า “ค่าซ่อมจะบานปลายไหม” และ “ประกันจะรับเคลมหรือเปล่า”
บทความนี้จะพาคุณมาทำความเข้าใจอย่างละเอียด พร้อมแนะนำแนวทางที่ทำให้คุณสามารถรับมือและเตรียมความพร้อมในการซ่อมรถได้อย่างคลายความกังวล

ประเภทความเสียหายกรณีน้ำท่วมรถยนต์
สำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) ได้กำหนดเกณฑ์มาตรฐานในการประเมินความเสียหายและค่าซ่อมรถยนต์ที่ถูกน้ำท่วม เพื่อให้บริษัทประกันภัยใช้เป็นแนวทางในการพิจารณาจ่ายค่าสินไหมทดแทน โดยแบ่งออกเป็น 5 ระดับ ดังนี้
ระดับ A น้ำท่วมถึงพื้นรถยนต์หรือพื้นห้องโดยสาร (เช่น พรม) ค่าซ่อมโดยประมาณ 8,000 – 10,000 บาท
ระดับ B น้ำท่วมถึงเบาะนั่ง (อาจส่งผลกระทบต่อระบบไฟฟ้าบางส่วน) ค่าซ่อมโดยประมาณ 15,000 – 20,000 บาท
ระดับ C น้ำท่วมถึงส่วนล่างของคอนโซลหน้า ค่าซ่อมโดยประมาณ 25,000 – 30,000 บาท
ระดับ D น้ำท่วมถึงส่วนบนของคอนโซลหน้า ซ่อมโดยประมาณเริ่มต้นที่ 30,000 บาทขึ้นไป
ระดับ E รถยนต์จมน้ำทั้งคัน (Total Loss) บริษัทประกันจะคืนทุนประกันภัยให้แก่ผู้เอาประกันภัย

ประกันแต่ละแบบดูแลรับผิดชอบอะไรบ้าง ?
การเลือกประเภทประกันภัยรถยนต์มีความสำคัญอย่างยิ่งในการคุ้มครองกรณีภัยน้ำท่วม โดยมีรายละเอียดความคุ้มครองที่แตกต่างกันไป
ประกันชั้น 1 คุ้มครองครบถ้วน (รวมถึงภัยธรรมชาติ เช่น น้ำท่วม) ไม่ว่าจะเป็นน้ำเข้าห้องเครื่อง, ห้องโดยสาร หรือรถจอดทิ้งไว้แล้วถูกน้ำท่วม หากเสียหายรุนแรงจนซ่อมไม่คุ้ม (Total Loss) บริษัทอาจพิจารณาจ่ายตามทุนประกัน
ประกันชั้น 2 คุ้มครอง หากมีการระบุความคุ้มครองภัยน้ำท่วมในกรมธรรม์
ประกันชั้น 3 คุ้มครอง หากมีการระบุความคุ้มครองภัยน้ำท่วมในกรมธรรม์ (มักคุ้มครองในรูปแบบขยายความคุ้มครองน้ำท่วมเพิ่มเติม)
น้ำท่วมแบบไหนที่ประกันจะดูแลเคลมให้ ? และแบบไหนที่อาจถูกปฏิเสธ !
โดยทั่วไปแล้ว บริษัทประกันจะให้ความคุ้มครองความเสียหายจากน้ำท่วมที่เกิดจากเหตุสุดวิสัยหรือภัยธรรมชาติ อย่างไรก็ตาม มีข้อควรระวังที่สำคัญมาก
กรณีที่ประกันคุ้มครอง (เคลมได้)
ความเสียหายโดยตรงจากภัยธรรมชาติ ในกรณีที่รถจอดอยู่ในที่จอดรถแล้วน้ำท่วมอย่างกะทันหัน หรือได้รับความเสียหายจากฝนตกหนักจนรถดับ
ซึ่งเป็นไปตามเงื่อนไขกรมธรรม์ กรมธรรม์ของคุณต้องเป็นประเภทที่ให้ความคุ้มครองภัยน้ำท่วม (ส่วนใหญ่มักเป็นชั้น 1 หรือชั้น 2+/3+ ที่มีการซื้อความคุ้มครองน้ำท่วมเพิ่ม)
กรณีที่ไม่สามารถเคลมได้ (อาจถูกปฏิเสธ)
ความประมาทของผู้ขับขี่ หากผู้ขับขี่ มองเห็นอยู่แล้ว ว่าถนนข้างหน้ามีน้ำท่วมสูง มีป้ายแจ้งเตือน หรือมีการประกาศแจ้งเตือนอย่างชัดเจน แต่คุณยังตัดสินใจขับรถฝ่าเข้าไป จนรถได้รับความเสียหายและเครื่องยนต์ดับกลางทาง ในกรณีนี้บริษัทประกันอาจปฏิเสธการจ่ายค่าสินไหมทดแทนได้ เนื่องจากถือว่าผู้ขับขี่นำรถเข้าสู่พื้นที่เสี่ยงภัยด้วยความประมาท
สิ่งที่ควรทำทันทีเมื่อรถถูกน้ำท่วม
หากรถของคุณประสบเหตุการณ์น้ำท่วม ควรทำตามขั้นตอนเหล่านี้เพื่อให้การเคลมประกันเป็นไปอย่างราบรื่น
- ห้ามสตาร์ตรถเด็ดขาด การพยายามสตาร์ตรถที่ถูกน้ำท่วมจะทำให้น้ำเข้าห้องเครื่องและระบบไฟฟ้า เกิดความเสียหายรุนแรง ซึ่งอาจทำให้ค่าซ่อมพุ่งสูงขึ้นอย่างมาก
- ถ่ายภาพและวิดีโอ ถ่ายภาพความเสียหายของรถอย่างละเอียดในหลายมุมเพื่อใช้เป็นหลักฐานในการแจ้งเคลม รวมถึงถ่ายระดับน้ำที่ท่วมรถและสภาพแวดล้อมโดยรอบ
- ติดต่อบริษัทประกันทันที แจ้งเหตุการณ์ให้บริษัทประกันทราบทันที พร้อมแจ้งหมายเลขกรมธรรม์และสถานที่เกิดเหตุ
- รอเจ้าหน้าที่ตรวจสอบ รอเจ้าหน้าที่จากบริษัทประกันภัยเข้ามาตรวจสอบสภาพความเสียหายและประเมินเบื้องต้นก่อนเคลื่อนย้ายรถ
อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าทรัพย์สินจะสำคัญแค่ไหน แต่ชีวิตและสวัสดิภาพของคนย่อมมีความสำคัญสูงสุดเมื่อต้องเผชิญกับสถานการณ์น้ำท่วมฉับพลันหรือน้ำที่ไหลเชี่ยว จนมีความเสี่ยงต่อชีวิตหรือสุขภาพ ขอให้ตัดสินใจทิ้งรถทันที แล้วรีบพาตัวเองไปยังพื้นที่ที่ปลอดภัยที่สุด เมื่อสถานการณ์คลี่คลายลง น้ำลดสู่ภาวะปกติ และมั่นใจในความปลอดภัยแล้ว ค่อยกลับมาประเมินความเสียหายของรถในภายหลัง จะเป็นแนวทางปฏิบัติที่ดีที่สุดในการรับมือช่วงภัยพิบัติ