BMW ซีรีส์ 5 ถือกำเนิดขึ้นในปี 1972 ตั้งแต่โมเดล E12 เรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน ซึ่งเป็นรถตระกูลซีดานหรู 5 ที่นั่งที่ค่อนข้างได้รับความนิยมและเติบโตขึ้นเรื่อย ๆ จนมาถึงปี 2023 ที่ BMW ได้เปิดตัวโมเดลรถยนต์ไฟฟ้าในเจนเนอเรชันที่ 8 กับ BMW i5 เป็นครั้งแรก

มร. อเล็กซานเดอร์ บารากา ประธานและซีอีโอ บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ประเทศไทย

ก่อนอื่นต้องเล่าว่า BMW มีสัดส่วนรถยนต์ไฟฟ้ามากถึง 39% เมื่อเทียบกับรถยนต์ทั้งหมดของ BMW (30% ในปี 2022) ซึ่ง BMW i5 เข้ามาเติมเต็มพอร์ตรถ EV เป็นรุ่นที่ 5 นอกเหนือจาก BMW iX, iX3, i4 และ i7 มาพร้อมระบบขับเคลื่อนไฟฟ้าเต็มรูปแบบ แต่ไฮไลต์สำคัญคือการพัฒนาที่ยั่งยืนด้วยกระบวนการผลิตที่ใช้พลังงานสะอาดทั้งหมด รวมถึงการใช้วัสดุรีไซเคิลต่าง ๆ เช่น อะลูมิเนียมรีไซเคิล หรือเบาะหนังวีแกน

ภาพรวมของ BMW i5 ถือว่ากว้างขวางขึ้นกว่ารุ่นเดิมในทุกมิติ ตั้งแต่ความยาวเพิ่มขึ้น 97 มิล กว้างขึ้น 32 มิล สูงขึ้น 37 มิล มาพร้อมดีไซน์กระจังหน้าไตคู่เป็นเอกลักษณ์ และไฟท้ายตัว L 2 เส้น ภายในโดดเด่นด้วยจอดิจิทัล BMW Curve ขนาด 14.9 นิ่ว และหน้าจอคนขับ 12.3 เชื่อมต่อกัน ทำงานคู่กับระบบปฏิบัติการณ์ล่าสุดของ BMW 8.5 ที่ใช้ควบคุมความบันเทิง แอร์และตั้งค่าตัวรถ รองรับทั้ง Apply CarPlay และ Android Auto

จุดเด่นของ BMW i5 คือมี Bmw Interaction Bar ที่เปลี่ยนสีได้ตามโหมดขับขี่ รวมถึงการใช้สีเตือนเวลาเปิดปิดประตูไม่สนิท บริเวณคอนโซนกลางมีที่วางโทรศัพท์ 2 จุด พร้อมชาร์จไร้สายได้ 1 จุดฝั่งคนขับ นอกจากนี้ยังรองรับระบบ Parking Assistant Professional หรือระบบช่วยจอดอัจฉริยะ ช่วยจดจำการเข้าจอดไกลสุด 200 เมตร แต่ต้องซื้อเพิ่มนะ

เบาะที่นั่งนอกจากใช้วัสดุวีแกนที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมแล้ว ด้านหลังยังมาพร้อมกับระบบควบคุมแอร์ด้วยจอสัมผัส มีช่องเสียบ USB-C ให้ 2 ช่องตรงกลาง และยังมีอีกช่องบริเวณหลังเบาะที่นั่งคู่หน้าพร้อมช่องต่อสำหรับติดตั้งชุดแต่งเพิ่มเติม อาทิที่วางแท็บเล็ตหรือชั้นวางต่าง ๆ

นอกจากนี้ BMW i5 ยังใส่กิมมิกไว้สำหรับคนที่ใช้เวลาอยู่บนรถมากขึ้น เช่นตอนกำลังชาร์จไฟอยู่ ทาง BMW ใส่ Incar Gaming ที่สามารถเปลี่ยนสมาร์ตโฟนเป็นจอยสติ๊ก สำหรับใช้เล่นเกมที่ติดตั้งมากับตัวรถได้ เชื่อมต่อได้สูงสุด 7 เครื่อง (แต่รถนั่งได้แค่ 5 ที่นั่งนะ) ซึ่งมอบความเพลิดเพลินแก่ผู้โดยสาร

ในส่วนของสมรรถนะตัวรถ BMW i5 มีให้เลือก 2 รุ่นย่อย ได้แก่ BMW i5 eDRIVE40 M Sport มอเตอร์เดี่ยว ให้กำลังสูงสุด 340 แรงม้า แรงบิด 430 นิวตันเมตร พร้อมอัตราเร่ง 0 – 100 กม./ชม. ภายใน 6 วินาที และ BMW i5 M60 xDrive 40 มอเตอร์คู่ กำลังสูงสุด 601 แรงม้า แรงบิด 820 นิวตันเมตร เร่ง 0 – 100 ภายใน 3.8 วินาที

BMW i5 eDRIVE40 M Sport

BMW i5 มาพร้อมแบตเตอรี่ขนาด 81.2 kWh ทั้งสองรุ่นย่อย โดยขับขี่สูงสุด 582 กม. ในรุ่น BMW i5 eDRIVE40 M Sport และ 516 กม. ในรุ่น BMW i5 M60 xDrive ตามมาตรฐาน WLTP นอกจากนี้ตัวรถยังรองรับการชาร์จ AC สูงสุด 22 kW ภายในเวลา 4 ชั่วโมง 15 นาที และชาร์จ DC 205 kW จาก 10 – 80% เพียง 30 นาที และชาร์จเพียง 10 นาทีสามารถขับขี่ได้ 156 กม.

BMW i5 M60 xDrive

พิเศษสุดกับ BMW i5 มาพร้อม Proactive Care มีแพ็กเกจเหมือนมีเจ้าหน้าที่ดูแลรถ 24 ชม. ผ่านแอป My BMW (ปัจจุบันมีผู้ใช้กว่า 10 ล้านคน) โดยไม่ต้องเข้าไปที่ศูนย์ สามารถเลือกเวลาเข้าใช้บริการศูนย์ได้ผ่านแอปเลย

สุดท้าย BMW i5 eDRIVE40 M Sport เปิดตัวในราคา 4,999,000 บาท และรุ่น BMW i5 M60 xDrive 40 ราคา 5,599,000 บาท รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม พร้อมแพ็กเกจบำรุงรักษา BSI Standard
นาน 4 ปี ไม่จำกัดระยะทาง พร้อมส่งมอบทันที ปัจจุบัน BMW มีสถานีชาร์จของ BMW มากกว่า 355 จุด และสถานีชาร์จที่ร่วมมือกับ EGAT อีกเกือบ 1,000 จุด หมดกังวลเรื่องจุดชาร์จได้เลย

พิสูจน์อักษร : สุชยา เกษจำรัส