รีวิวเกม Justice Chronicles เกมแนว JRPG คลาสสิกที่ตกยุคไปแล้ว
Our score
6.0

Justice Chronicles

จุดเด่น

  1. เกมเพลย์แบบคลาสสิกที่เข้าใจง่าย
  2. ความเร็วในการเล่นที่สูงมาก

จุดสังเกต

  1. กราฟิกปรับจาก 3DS มาน้อยมาก
  2. รูปแบบการเล่นที่ดูเชยเกินไปแล้ว

สำหรับแฟนเกมที่ผ่านร้อนผ่านหนาวมานาน แนวทาง RPG จากประเทศญี่ปุ่นหรือที่เรียกว่า JRPG ได้รับความนิยมอย่างมากในยุค 90S แม้ว่าทุกวันนี้กระแสอาจจะลดลงไปบ้าง แต่ด้วยแนวทางการเอาของเก่ามาขายใหม่กลับมาอีกครั้งทำให้เกิดการสร้างเกมแนว RPG ออกมาต่อเนื่องที่ส่วนใหญ่จะมาจากค่ายอินดี้

และล่าสุดรับปี 2022 มีการเปิดตัวเกมแนว JRPG อย่าง Justice Chronicles บนคอนโซลทั้ง PS4 , XBoxone และ Nintendo Switch รวมทั้ง PC ด้วย แต่มันไม่ใช่เกมใหม่เป็นการเอาเวอร์ชันบน Nintendo 3DS ที่วางขายในปี 2016 มาสร้างใหม่ ซึ่งเป็นผลงานของค่าย Kemco ผู้สร้างเกมจากญี่ปุ่นที่ไม่ได้โด่งดังอะไรมาก แต่ก็มีประวัติมานาวนานเกือบ 40 ปีแล้ว

โดยเรื่องราวใน Justice Chronicles จะถือว่าเข้มข้นพอสมควรเพราะเกิดในโลกที่มีความขัดแย้งระหว่างอาณาจักร ที่หากนั่งอ่านโดยไม่กดข้ามแล้วถือว่าน่าติดตาม โดยตัวเอก Kline ที่ได้ตกลงทำสัญญากับเทพเจ้าแห่งความตาย ด้วยความบังเอิญ และได้รับพลังพิเศษมาทำให้เขาตัดสินใจออกค้นหาความจริงของความขัดแย้งเพื่อหยุดสงครามที่อาจทำให้โลกถึงจุดจบ ผ่านการเล่าเรื่องที่เรียบง่ายแบบเกมยุค 90S

กราฟิกปรับเปลี่ยนน้อยมาก

ภาพใน Justice Chronicles ฉบับเอามาขายใหม่จะเป็นการรีมาสเตอร์แบบปรับกราฟิกใหม่ ซึ่งของเดิมเป็นพิกเซลแบบคลาสสิก การเอามาขายใหม่มีการปรับโมเดลตัวละครและฉากที่ทำให้คมชัดขึ้นเล็กน้อยเพื่อเข้ากับหน้าจอ HD ของทีวีและเครื่องเกมรุ่นใหม่ และสัดส่วนของหน้าจอที่เปลี่ยนไปเพราะบน 3DS เป็นแบบ 2 จอต้องปรับให้รวมเป็นหน้าจอเดียว รวมทั้งฉากต่อสู้ที่จะกว้างขึ้นทำให้ใส่ภาพของตัวละครหลักมาได้ด้วย แต่นอกจากนั้นถือว่าเหมือนเดิมที่เป็นภาพแนวย้อนยุคไปสมัย 16Bit ในยุค 90S ที่ดูเชยมากในยุคนี้

ส่วนเพลงประกอบถือว่าทำออกมาได้ดีในระดับมาตรฐานเกมแนว JRPG ทั่วไป ที่มีการปรับปรุงคุณภาพเสียงให้ดีขึ้นกว่าต้นฉบับบน 3DS เล็กน้อย แต่เสียดายที่ผู้สร้างไม่ได้เสริมด้วยการใส่เสียงพากย์ไปด้วย ทำให้การเล่าเรื่องดูเรียบ ๆ เกินไปถือว่าเป็นเรื่องน่าเสียดายเพราะเรื่องราวใน Justice Chronicles ถือว่าเข้มข้นพอสมควร มีการหักมุมรวมทั้งหากอ่านดูแล้วมันมีความรุนแรงพอสมควร แต่จากการนำเสนอด้วยกราฟิกแบบพิกเซลทำให้มันไม่สามารถถ่ายทอดความเข้มข้นของเรื่องราวออกมาได้ดีเท่าที่ควร

รูปแบบการเล่น JRPG แบบคลาสสิกที่สุดเชย

เกมเพลย์ของ Justice Chronicles มาแนวเทิร์นเบส RPG แบบเดิม ๆ ไม่มีระบบเวลาจริงที่นิยมใช้ในยุค 90S ที่จะนำเสนอฉากหลักแบบ 2 มิติมุมมองด้านบน ทั้งฉากในหมู่บ้านและดันเจี้ยน ที่จะดูคล้ายกับ Final Fantasy หรือ Fantasy Star ภาคแรก ๆ ส่วนฉากต่อสู้จะมาแบบสุ่มไม่เห็นศัตรูบนฉาก และมีการตัดเข้าฉากต่อสู้ที่เห็นตัวศัตรูในมุมมองบุคคลที่ 1 แบบ Dragon Quest แล้วมีเมนูขึ้นมาให้ใส่คำสั่งเพื่อโจมตี หรือใช้พลังเวทมนตร์และท่าไม้ตาย

ถือว่ามันคือของเดิม ๆ ที่ดูเชยมากแต่ก็เข้าใจได้ง่ายไม่มีอะไรซับซ้อน และหากขี้เกียจนั่งใส่อะไรยุ่งยากก็มีระบบอัตโนมัติมาให้ด้วย แต่เกมเพลย์ไม่ได้ง่าย ๆ ศัตรูในเกมมีความโหดพอสมควร และหากเลือกโหมดยากศัตรูธรรมดาก็ตบเราตายยกทีมได้ ดังนั้นเราต้องวางแผนการเล่นและต้องเลือกใช้คาถาหรือท่าไม้ตายให้ถูกที่ถูกทาง และส่วนนี้ผู้สร้างทำได้ใกล้เคียงกับเกมยุค 90S ด้วยใครชอบแนวทางย้อนยุคน่าจะชอบในส่วนนี้

จุดเด่นของ Justice Chronicles ที่เหมือนการยกเอารูปแบบของหลายเกมมารวมกันคือ การมีเทพประจำตัวมาเป็นผู้ช่วยในการเล่น โดยจะส่งผลกับความสามารถของตัวละครด้วย อีกส่วนที่เหมือนเอาระบบ Materia ของ Final Fantasy 7 มาใช้ ที่เราต้องใส่ลูกแก้วไว้กับตัวแล้วนั่งเก็บเลเวลเพื่อเพิ่มค่าพลังหรือได้ท่าไม้ตายและ เวทมนตร์ ใหม่ ๆ ด้วยแต่น่าเสียดายที่มันใส่ได้น้อยกว่าต้นฉบับเยอะ ทำให้เหมือนการเลียนแบบแต่ทำได้ไม่ถึงแต่ก็ยังดีกว่าไม่มีมาให้

โดดเด่นที่ความเร็วและย่อระบบให้เล่นง่าย

ปรกติแล้วเกมแนว เทิร์นเบส RPG จะมีจุดด้อยที่ความอืดอาดของรูปแบบการเล่น ที่เวลากดใส่คำสั่งไปแล้วต้องรอตัวละครโจมตีที่ปรกติแล้วจะช้าจนน่าเบื่อสำหรับเกมในยุคนี้ แต่ Justice Chronicles ได้แก้จุดอ่อนนี้ไป เพราะตัวเกมโหลดเร็วมาก และในส่วนของฉากต่อสู้เรายังสามารถปรับความเร็วได้อีก ทำให้การต่อสู้ไม่ยาวนานเหมาะกับคอเกมยุคใหม่ที่ไม่ชอบรออะไรนาน ๆ และอีกส่วนที่โดดเด่นคือฉากแผนที่ เพราะเราไม่ต้องเดินบนฉากกว้าง ๆ แต่เป็นการเลือกจุดที่ต้องการจะไปบนแผนที่ได้เลยไม่ต้องมานั่งเดิน

โดยรวมแล้ว Justice Chronicles อาจจะเป็นเกมที่ดูเชยมากทั้งกราฟิกที่ตกยุคแม้จะเป็นการเอามาขายใหม่แบบปรับภาพแล้วแต่ก็น้อยมาก อีกทั้งรูปแบบการเล่นที่ดูเก่าเก็บเกินไปหน่อย ยังดีที่ผู้สร้างได้เร่งความเร็วในการเล่นและการโหลดที่ไม่ยาวนาน ทำให้หากคุณชื่นชอบเกมแนวนี้มาก่อนก็พอจะหาความสนุกได้อยู่ อย่างน้อย ๆ เมื่อเอามาเทียบกับราคาขายที่ไม่แพง (ซื้อแบบดาวน์โหลด) ถือว่ามันคุ้มกับเงินที่เสียไป แต่หากเคยเล่นเวอร์ชัน 3DS มาก่อนแล้วก็ไม่มีเหตุผลที่จะหามาเล่นอีกรอบ

พิสูจน์อักษร : สุชยา เกษจำรัส