เมื่อพูดถึง “การเดินทางข้ามเวลา” เป็นพล็อตเรื่องที่สร้างสีสันให้กับโลกภาพยนตร์มาทุกยุคทุกสมัย ไม่ว่าจะเป็นการย้อนกลับไปแก้ไขอดีต หรือการข้ามช่วงเวลาไปยังอนาคต แต่เคยสงสัยไหมว่า ในโลกแห่งความเป็นจริง สิ่งเหล่านี้เป็นเพียงจินตนาการ หรือมีทฤษฎีทางวิทยาศาสตร์รองรับอยู่ ?
จากความเชื่อสู่นิยาย Sci-Fi
แนวคิดเรื่องการย้อนเวลา หรือข้ามเวลาไปอนาคต ไม่ใช่เรื่องใหม่ที่เพิ่งเกิดขึ้น แต่แฝงอยู่ในรากฐานวัฒนธรรมมนุษย์มาหลายพันปีแล้ว ซึ่งอาจจะเห็นในบันทึกทางศาสนาอย่าง “ไตรภูมิพระร่วง” ที่มีการพูดถึงภพภูมิสวรรค์และนรก การเวียนว่ายตายเกิด หรือโครงสร้างของจักรวาล ซึ่งก็ได้มีการพูดถึงบางที่ในจักรวาลเวลาจะช้ากว่าที่อื่น
แล้วเราสามารถเดินทางไปยังอนาคตได้หรือไม่ ?
เมื่อวิทยาศาสตร์เจริญก้าวหน้าขึ้น ช่องโหว่ของทฤษฎีต่าง ๆ ก็ได้ถูกนำไปต่อยอดถึงการข้ามเวลา กับ นิยายเรื่องแรก ๆ ที่พูดถึงนั่นก็คือ The Time Machine โดย H.G. Wells นักเขียนนิยายวิทยาศาสตร์ ที่เล่าถึงนักวิทยาศาสตร์ที่ข้ามเวลาไปยังอนาคตไกลโพ้น ถึงปี 802,701 และพบเจอกับมนุษย์ในอนาคต ก่อนจะเดินทางกลับมายังปัจจุบัน ซึ่งเรื่องนี้เสนอแนวคิดว่า เวลาเปรียบเสมือนมิติที่ 4 วัตถุใด ๆ จะไม่มีอยู่จริง ถ้ามันไม่เคยอยู่ในช่วงเวลาใด ซึ่งแนวคิดนี้ก็ใกล้เคียงกับนิยามของเวลาในฟิสิกส์ยุคใหม่ และกลายเป็นแรงบันดาลใจให้นิยายย้อนเวลาอื่น ๆ

ถือเป็นเรื่องที่น่าทึ่งมาก เพราะแนวคิดนี้เกิดขึ้นก่อนทฤษฎีของอัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ (Albert Einstein) จะสร้างทฤษฎีสัมพัทธภาพ (Relativity) ในปี 1915 ซึ่งอธิบายได้ว่า เวลาในแต่ละที่ของเอกภพไม่ได้เดินไปข้างหน้าเท่ากันแต่จะมีบางจุดที่เวลาผ่านไปช้ากว่าที่อื่นหรือเร็วกว่า ซึ่งเรียกปรากฏการณ์นี้ว่า Time Dilation หรือการยืดออกของเวลา
ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดจากเรื่อง Interstellar ในหนังเรื่องนี้ ตัวเอกชื่อ คูเปอร์ เดินทางผ่านรูหนอนไปยังกาแล็กซีอื่น และไปโคจรใกล้หลุมดำที่มีแรงโน้มถ่วงมหาศาล เวลาของเขาผ่านไปเพียงไม่กี่ชั่วโมง เมื่อเขากลับมา ลูกสาวของเขาจึงแก่ชรากว่าตัวเขาเองไปหลายสิบปี ซึ่งเรื่องนี้มีการพิสูจน์มาแล้ว เช่น นาฬิกาบนดาวเทียมที่โคจรรอบโลก จะเดินเร็วกว่านาฬิกาบนโลก
จะกลับไปแก้อดีตอาจไม่ง่ายอย่างที่คิด
ในขณะที่การไปอนาคตดูมีความเป็นไปได้ทางฟิสิกส์ แต่การ “ย้อนกลับ” ไปหาอดีตกลับเป็นหนังคนละม้วน นักฟิสิกส์อย่าง สตีเฟน ฮอว์กิง (Stephen Hawking) เคยเสนอแนวคิด Chronology Protection Conjecture หรือการป้องกันลำดับเวลา เพื่อบอกว่าการย้อนเวลากลับไปอดีตนั้นเป็นสิ่งที่เป็นไม่ได้ตามหลักฟิสิกส์ แม้จะมีสมมติฐานเรื่อง “สสารประหลาด” (Exotic Matter) ที่อาจช่วยให้ทำได้ แต่ก็ยังเป็นแค่สมมติฐานเท่านั้น
ซึ่งก็สามารถอธิบายด้วยแนวคิด Grandfather Paradox ที่ว่า ถ้าคุณย้อนเวลาไปฆ่าปู่ของคุณก่อนที่พ่อจะเกิด ตัวคุณก็จะไม่ได้เกิดมา แล้วถ้าคุณไม่ได้เกิดมา ใครล่ะที่เป็นคนย้อนเวลาไปฆ่าปู่ ? นี่คือวังวนที่หาคำตอบไม่ได้ ซึ่งการย้อนอดีตที่มักเห็นในหนัง เช่น Back to the Future หรือ Harry Potter จึงมักใช้กฎวิเศษหรืออุปกรณ์แฟนตาซีมาอธิบายแทนวิทยาศาสตร์
พหุจักรวาลทางออกของการย้อนอดีต
เมื่อการแก้ไทม์ไลน์เดิมมันยุ่งยากและต้องหาคำตอบมารองรับมากมาย หนังยุคหลัง ๆ อย่าง Everything Everywhere All At Once, Avengers Endgame หรือแม้แต่หนังไทยอย่าง Uranus 2324 จึงหันไปใช้ทฤษฎี Multiverse หรือพหุจักรวาลแทน โดยอิงจากกลศาสตร์ควอนตัมที่ว่า ทุกครั้งที่มีการตัดสินใจหรือเปลี่ยนแปลง เหตุการณ์จะแตกกิ่งก้านสาขาออกไปเป็นจักรวาลใหม่ ทำให้การแก้ไขอดีตไม่กระทบปัจจุบัน แต่เป็นการสร้างไทม์ไลน์ใหม่ขึ้นมาแทน
หรืออย่างในเรื่อง Tenet ที่ฉีกแนวไปใช้เรื่อง Entropy (ความไร้ระเบียบ) ทำให้วัตถุหรือคนเคลื่อนที่ถอยหลังเหมือนกรอเทป ซึ่งเป็นอีกมุมมองที่น่าสนใจในการเล่นกับเวลา
แม้ในเชิงฟิสิกส์ การย้อนเวลาไปแก้ไขอดีตยังดูเป็นไปได้ยาก แต่คาร์โล โรเวลลี (Carlo Rovelli) นักฟิสิกส์ผู้เขียนหนังสือ The Order of Time ได้ฝากข้อคิดที่น่าสนใจไว้ว่า เวลาอาจเป็นเพียงโครงสร้างที่ซับซ้อนและไม่มีอยู่จริงในแบบที่เรารู้สึก แต่ในเชิงความรู้สึกของมนุษย์ เวลาคือความสัมพันธ์ ความทรงจำ และการเปลี่ยนแปลง ซึ่งสิ่งเหล่านี้แหละ ที่ทำให้ “เวลา” มีความหมาย