ทีมนักวิจัยจากมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย ริเวอร์ไซด์ (UC Riverside) ชี้ว่าการฟื้นฟูป่าที่สูญหายตั้งแต่ยุคอุตสาหกรรมอาจทำให้อุณหภูมิเฉลี่ยของโลกลดลงราว 0.34 °C หรือประมาณหนึ่งในสี่ของอุณหภูมิโลกที่เพิ่มขึ้นภาวะโลกร้อนที่เกิดขึ้นแล้ว ตามแบบจำลองที่ตีพิมพ์ในวารสาร Communications Earth & Environment แต่ก็ยังไม่เพียงพอจะแก้ไขผลกระทบทางสิ่งแวดล้อมจากฝีมือมนุษย์

ในปัจจุบัน เชื่อกันว่าโลกของเราได้สูญเสียต้นไม้ไปเกือบครึ่งหนึ่ง หรือประมาณ 3 ล้านล้านต้น นับตั้งแต่กลางคริสต์ศตวรรษที่ 19 ซึ่งทีมนักวิจัยได้สร้างแบบจำลองสมมุติให้มีการเพิ่มพื้นที่ป่าราว 12 ล้านตารางกิโลเมตร หรือเกือบ 1.35 เท่าของสหรัฐฯ ใกล้เคียงกับการปลูกต้นไม้ 1 ล้านล้านต้น

หากฟื้นฟูป่าได้ตามสมมุติฐานนี้ อุณหภูมิโลกจะลดลง 0.34 °C ซึ่งอยู่ในระดับที่มีนัยสำคัญ แต่ยังไม่เพียงพอที่จะลบล้างความร้อนที่เกิดจากการปล่อยก๊าซเรือนกระจกโดยฝีมือของมนุษย์

บ็อบ อัลเลน นักวิทยาศาสตร์ภูมิอากาศและหัวหน้าทีมวิจัย UC Riverside ให้ความเห็นว่า การปลูกป่าไม่ใช่ทางออกของปัญหา แต่ก็เป็นกลยุทธ์สำคัญที่ต้องทำควบคู่ไปกับการลดการปล่อยมลพิษอย่างจริงจัง

ประโยชน์ของต้นไม้ที่มากกว่าการดูดซับคาร์บอนไดออกไซด์

นอกจากการดูดซับคาร์บอนไดออกไซด์ ต้นไม้ยังปล่อยสารประกอบอินทรีย์ที่ระเหยได้ตามธรรมชาติ (BVOCs) ที่ไปจับกับก๊าซอื่น ๆ ในบรรยากาศ ก่อตัวเป็นละอองขนาดเล็ก ซึ่งช่วยสะท้อนแสงอาทิตย์และกระตุ้นการก่อตัวของเมฆ สองกระบวนการนี้ช่วยลดความร้อนของโลกได้

ซึ่งโมเดลในการคำนวณสภาพอากาศส่วนใหญ่ไม่ได้รวมทั้งสองคุณสมบัตินี้เข้าไป หากรวมเข้าไปจะทำให้ผลลัพธ์ของการเพิ่มพื้นที่ป่าในการลดอุณหภูมิโลกชัดเจนขึ้น

นอกจากนี้ แบบจำลองสมมุติในงานวิจัยนี้ยังพบด้วยว่าการปลูกป่าสามารถช่วยลดปริมาณฝุ่นละอองภายในชั้นบรรยากาศในภูมิภาคซีกโลกเหนือได้ 2.5 เปอร์เซ็นต์

นักวิจัยยอมรับว่าสถานการณ์จำลองในงานวิจัยนี้ไม่น่าจะเกิดขึ้นจริงได้ เพราะการฟื้นฟูให้กลับมาเติบโตได้ในพื้นที่ทั้งหมดที่เคยเติบโตมาก่อน จะต้องมีการเรียกร้องที่กระทบกับที่อยู่อาศัย และพื้นที่เพาะปลูก ซึ่งทำให้เกิดคำถามเกี่ยวกับความมั่นคงด้านอาหารและลำดับความสำคัญของการใช้ที่ดิน

อย่างไรก็ตาม การศึกษานี้ก็พบด้วยว่าในบริเวณเขตร้อน การปล่อยสาร VOC ที่เพิ่มขึ้นส่งผลต่อคุณภาพอากาศทั้งทางบวกและทางลบ โดยเชื่อมโยงกับอากาศที่แย่ลงจากอนุภาคขนาดเล็กที่ก่อตัวเป็นละอองลอยมากขึ้น แต่คุณภาพอากาศดีขึ้นจากการวัดโอโซน

สุดท้าย แม้การฟื้นฟูป่าตามสถานการณ์จำลองในงานวิจัยนี้จะทำได้สำเร็จ แต่ก็ยังไม่สามารถกู้คืนความเสียหายทางสภาพแวดล้อมที่เกิดขึ้นไปแล้วได้อยู่ดี แต่ไม่ว่าจะเป็นการฟื้นฟูในรูปแบบใดก็ถือว่าเป็นการช่วยเหลือโลกไม่มากก็น้อย