ไมเคิล เบอร์รี่ (Michael Burry) ชื่อที่ไม่มีใครในตลาดทุนลืมได้ง่าย ๆ เขาเคยถูกเยาะว่าเพ้อเจ้อ แต่สุดท้ายดันคว่ำทั้งวอลล์สตรีทด้วยการมองเห็นวิกฤตซับไพร์มตั้งแต่ก่อนใครหลายปี

จากหมอที่หันหลังให้โรงพยาบาล เขามากลายเป็นหนึ่งในสมองที่เฉียบที่สุดของยุค 2000s จนโลกต้องหันกลับมาฟังทุกครั้งที่เขา พูดอะไรบางอย่าง

แต่โลกการลงทุนไม่ใช่บทหนังที่ตัวเอกจะชนะเสมอไป แม้เขาจะเคยทำนายถูกครั้งใหญ่ในปี 2008 แต่ระยะหลังเขาก็มีจังหวะสะดุดให้เห็น โดยเฉพาะการมองเทคโนโลยี AI ว่าเป็นฟองสบู่ที่ต้องแตก ซึ่งจนถึงตอนนี้ตลาดยังไม่เป็นอย่างที่เขาคิด

จากเด็กชายสายตาผิดปกติสู่มหาเศรษฐีตลาดหุ้น

เบอร์รี่เกิดวันที่ 19 มิถุนายน 1971 ที่ซานโฮเซ่ รัฐแคลิฟอร์เนีย ชีวิตเขาไม่ง่ายตั้งแต่ต้น เพราะอายุแค่สองขวบเขาต้องเสียตาซ้ายไปจากโรคมะเร็งเรติโนบลาสโตมา และต้องใส่ตาปลอมตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา

เรื่องนี้ทำให้เขากลายเป็นเด็กเงียบ โลกส่วนตัวสูง และชอบอ่านมากกว่าพูดคุยกับคนอื่น

เขาเรียนมัธยมที่ Santa Teresa High School ก่อนจะเข้า UCLA เรียนเศรษฐศาสตร์ แล้วไปต่อแพทย์ที่ Vanderbilt University School of Medicine จบเป็นแพทย์เต็มตัวในปี 1997

จากนั้นเริ่มวอร์ดประสาทวิทยาที่ Stanford แต่เรียนไปไม่นาน เขากลับพบว่าสิ่งที่ทำให้เขาตื่นเต้นจริง ๆ คือการวิเคราะห์หุ้นตอนกลางคืน ไม่ใช่งานเวรบนวอร์ด เขาจึงตัดสินใจลาออกจากการเป็นหมอแบบไม่มีหันหลังกลับ

ต้นยุค 2000 เบอร์รี่ตั้งกองทุน Scion Capital ด้วยเงินเก็บและเงินครอบครัว เขาเป็นนักลงทุนแบบอ่านงบละเอียดจนแทบเป็นงานวิจัย และจุดที่พลิกชีวิตคือช่วงปี 2003–2004 เมื่อเขาเริ่มเจาะโครงสร้างของสินเชื่อซับไพร์ม และพบว่ามันออกแบบมาเพื่อพังตั้งแต่ต้น

เขาจึงไปซื้อสัญญาประกันหนี้อย่าง Credit Default Swap กับ Goldman Sachs และบริษัทอื่นๆ เพื่อเดิมพันว่าบ้านอเมริกากำลังจะล้มทั้งระบบ สิ่งนี้ทำให้นักลงทุนหลายคนในกองตกใจ ถอนเงิน เพราะดูเหมือนเขาแทงสวนโลก

แต่ปี 2007 ทุกอย่างก็ระเบิดตามที่เขาเห็นก่อนใคร เบอร์รี่ทำกำไรส่วนตัวราว 100,000,000 เหรียญ และลูกกองรับไปกว่า 700,000,000 เหรียญ กลายเป็นตำนานจนฮอลลีวูดเอาเรื่องของเขาไปสร้างเป็นหนัง The Big Short ที่ Christian Bale รับบทเจ้าตัวแบบเหมือนจนน่าขนลุก

การทำนายล่าสุดยังไม่ถูกกับฟองสบู่ AI ที่ยังไม่แตก

หลังผ่านความสำเร็จครั้งประวัติศาสตร์ ชื่อของเบอร์รี่กลายเป็นแม่เหล็ก ทุกครั้งที่เขาโพสต์อะไร คนทั้งตลาดจะหันไปมองทันที แต่ก็ใช่ว่าเขาจะถูกเสมอไป ต้นปี 2023 เขาโพสต์คำเดียว “Sell” บนแพลตฟอร์ม X แล้วตลาดกลับพุ่งต่อ เขายังต้องออกมายอมรับเองว่า “ผมผิดที่บอกขาย”

ปี 2025 เขากลับมาอีกครั้งด้วยการเปิด Put กับหุ้น Nvidia Corporation และ Palantir Technologies โดยเชื่อว่า AI กำลังเข้าสู่ฟองสบู่ขั้นสุด แต่ตลาดยังสวนความเชื่อเขา หุ้นสองตัวนั้นวิ่งขึ้นต่อแบบไม่มีทีท่าจะหยุด

ทำให้นักวิเคราะห์หลายคนเริ่มบอกว่าเบอร์รี่จับจังหวะผิด หรืออาจเร็วเกินไปเหมือนตอนที่เขาเห็นซับไพร์มก่อนตลาดหลายปี เพียงแต่ครั้งนี้ตลาดยังไม่หันหัวลงตามที่เขาคาด

ในท้ายที่สุด ไมเคิล เบอร์รี่ คือเสียงที่ตลาดไม่เคยมองข้าม ไม่ว่าเขาจะถูกหรือพลาด เขาคือเคสศึกษาที่ดีที่สุดว่าการลงทุนต้องใช้ทั้งข้อมูล ความกล้าสวนกระแส และยอมรับให้ได้เมื่อผิดทาง

ความสำเร็จของเขาในวิกฤตซับไพร์มยังคงเป็นบทเรียนระดับตำนาน แต่ความพลาดในยุค AI คืออีกด้านที่เตือนว่า ไม่มีใครอ่านอนาคตได้ทั้งหมด