‘ทีมห้างขายยา’ ไบเออร์ เลเวอร์คูเซ่น ทำสำเร็จหลังสามารถเอาชนะ เวเดอร์ เบรเมน ไปได้ 5-0 การันตีคว้าแชมป์บุนเดสลีกาสมัยแรกได้สำเร็จ อีกทั้งพวกเขาตอนนี้ยังทำสถิติไร้พ่าย 43 นัดติดต่อกัน โดยแบ่งเป็นชนะ 38 นัด เสมอ 5 นับเป็นทีมเดียวใน 5 ลีกใหญ่ที่ยังไม่แพ้ใครจนถึงตอนนี้และ ยังคงอยู่ในเส้นทางในลุ้นทริปเปิลแชมป์ กับ แชมป์ไร้พ่าย นับเป็นฤดูกาลประวัติศาสตร์เลยก็ว่าได้

แต่การเดินทางกว่าที่พวกเขาจะประสบความสำเร็จคว้าแชมป์ได้ไม่ใช่เรื่องง่าย เราจะพาไล่ย้อนกลับไปดูการเดินทางตั้งแต่ต้นจนถึงแชมป์ลีกในครั้งนี้กัน

จุดเริ่มต้นของเลเวอร์คูเซ่น

ทีมยิมนาสติก ของสโมสรเลเวอร์คูเซ่น ในปี 1905

ไบเออร์ 04 เลเวอร์คูเซ่น (Bayer 04 leverkusen) ถูกก่อตั้งเมื่อปี 1904 โดยพนักงานของบริษัทยาและเคมีภัณฑ์ ไบเออร์ เอจี เป็นบริษัทสัญชาติเยอรมัน ซึ่งมีสำนักงานใหญ่อยู่ที่เลเวอร์คูเซ่นและเป็นที่มาของชื่อสโมสร พวกเขานับเป็นทีมเดียวในประเทศเยอรมัน ที่ได้รับอนุญาตให้ใช้ชื่อบริษัทมาตั้งเป็นชื่อสโมสร เนื่องจากในประเทศเยอรมัน คนเยอรมันมองว่าทีมฟุตบอลควรเป็นทรัพย์สมบัติของชุมชน ดังนั้นจึงไม่ให้ตั้งชื่อสโมสรเป็นรูปแบบบริษัท แต่เลเวอร์คูเซ่นได้รับการยกเว้น

แต่ก่อนจะใช้ชื่อว่า ไบเออร์ เลเวอร์คูเซ่น ชื่อเดิมของพวกเขาคือ ทีเอสวี ไบเออร์ 04 เลเวอร์คูเซ่น ซึ่งเป็นสโมสรกีฬาที่มีกีฬาหลากหลายประเภทที่นอกเหนือจากฟุตบอล เช่น กรีฑา ยิมนาสติก บาสเกตบอล แฮนด์บอล และอื่น ๆ ก่อนที่จะมีการแยกสโมสรฟุตบอลออกมาในปี 1907 และใช้ชื่อว่า เอสวี ไบเออร์ เลเวอร์คูเซ่น

ทีมเอสวี ไบเออร์ เลเวอร์คูเซ่นในปี 1936

ในช่วงต้นทศวรรษที่ 1930 เอสวี ไบเออร์ เลเวอร์คูเซ่น เล่นฟุตบอลอยู่ใน ดิวิชั่น 3-ดิวิชั่น 4 จนกระทั่งในปี 1936 พวกเขาได้เลื่อนชั้นสู่ดิวิชั่น 2  เป็นครั้งแรก ต่อมาในช่วงต้นทศวรรษที่ 1940 การเล่นฟุตบอลเป็นเรื่องยากเนื่องจากอยู่ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 นักเตะถูกเรียกตัวไปรับใช้ชาติ จนหลังสงครามโลกจบลงก็กลับเล่นฟุตบอลกันอีกครั้ง และในที่สุดในปี1951 พวกเขาก็สามารถเลื่อนชั้นขึ้นสู่ดิวิชั่น 1 ได้สำเร็จเป็นครั้งแรก พวกเขาเล่นอยู่ดิวิชั่น 1 จนถึงปี 1956 หลังจากนั้นพวกเขาตกชั้นสู่ดิวิชั่น 2 

ทีมเอสวี ไบเออร์ เลเวอร์คูเซ่น ในปี1967-1968

เอสวี ไบเออร์ เลเวอร์คูเซ่น อยู่ในดิวิชั่น 2 จนถึงปี 1962 ก็ได้เลื่อนชั้นขึ้นสู่ดิวิชั่น 1 อีกครั้ง แต่น่าเสียดายที่เลื่อนชั้นเร็วไป ก่อนที่เยอรมันจะมีการก่อตั้งลีกอาชีพใหม่ โดยใช้ชื่อว่า ‘บุนเดสลีกา’ พวกเขาใช้เวลาวนเวียนหลายปีอยู่ในลีกภูมิภาคและดิวิชั่น 2 ก่อนที่พวกเขาจะสามารถเลื่อนชั้นสู่ บุนเดสลีกา ได้สำเร็จ

เลื่อนชั้นมาบุนเดสลีกาครั้งแรก

เลเวอร์คูเซ่น เลื่อนชั้นสำเร็จสู่บุนเดสลีก้าครั้งแรกในฤดูกาล 1979-1980

ในฤดูกาล 1979-1980 เลเวอร์คูเซ่นสามารถเลื่อนชั้นขึ้นสู่บุนเดสลีกาครั้งแรกได้สำเร็จ นับตั้งแต่นั้นมา เลเวอร์คูเซ่น ก็ไม่เคยตกชั้นอีกเลย ในช่วงต้นทศวรรษที่ 1980 นั้นพวกเขาทำผลงานได้ไม่ค่อยสม่ำเสมอมีทั้งช่วงที่ดีและช่วงที่ยากลำบากที่เกือบจะตกชั้น 

ในปี 1984 มีการกลับมารวมตัวกันอีกครั้งระหว่าง เอสวี ไบเออร์ เลเวอร์คูเซ่น และ ทียูเอส ไบเออร์ เลเวอร์คูเซ่น หลังแยกกันมากว่า 5 ทศวรรษ พวกเขารวมตัวกันและใช้ชื่อว่า ทีเอสวี ไบเออร์ เลเวอร์คูเซ่น

ในปี 1985 มีเปลี่ยนกุนซือเป็น เอริค ริบเบ็ค และการเข้ามาคุมทีมของกุนซือคนนี้นำมาซึ่งความสำเร็จครั้งแรกในเวทียุโรป

ความสำเร็จครั้งแรก

ความสำเร็จครั้งแรกของเลเวอร์คูเซ่น ในเวทียุโรป

เอริค ริบเบ็ค เข้ามารับตำแหน่งโค้ชในปี 1985/1986 และสามารถพาทีมไปเล่นในถ้วยยูฟ่าคัพหรือในปัจจุบันเปลี่ยนชื่อเป็นยูโรป้าลีกได้เป็นครั้งแรกในฤดูกาล 1985/86 และในฤดูกาลถัดมาก็สามารถพาทีมไปเล่นในถ้วยยูฟ่าคัพได้อีกครั้งในฤดูกาล 1986-1987 

ในฤดูกาล 1986-1987 นับเป็นฤดูกาลที่น่าประทับใจของเลเวอร์คูเซ่น พวกเขาเริ่มต้นฤดูกาลได้ยอดเยี่ยมด้วยการเป็นจ่าฝูงบุนเดสลีกาในเกมนัดที่ 3 ซึ่งถือเป็นครั้งแรกของสโมสร และสามารถเอาชนะบาเยิร์น มิวนิคไปได้ 3-0 ที่สนามเหย้าของพวกเขา แม้ในตอนสุดท้ายจะไม่สามารถคว้าแชมป์บุนเดสลีกาและต้องพึ่งฮัมบูร์ก เอสวี ในการคว้าแชมป์บอลถ้วย เพื่อที่พวกเขาจะได้เล่นถ้วยยูฟ่าคัพอีกครั้ง

ทีมเลเวอร์คูเซ่นชุดแชมป์ยูฟ่าคัพ ในฤดูกาล 1987-1988

ในฤดูกาล 1987-1988 เรียกว่าเป็นฤดูกาลประวัติศาสตร์ที่เลเวอร์คูเซ่นสามารถคว้าความสำเร็จแรกในเวทียุโรปได้สำเร็จ พวกเขาสามารถเอาชนะทั้งออสเตรีย เวียนนา, เอฟซี ตูลูส, เฟเยนูร์ด, บาร์เซโลนา และแวร์เดอร์ เบรเมน ทำให้พวกเขาผ่านเข้ารอบไปชิงชนะเลิศได้สำเร็จ 

ในรอบชิงชนะเลิศพวกเขาต้องเจอกับ เอสปันญอล ทีมดังจาก ลาลีกา สเปน ซึ่งนัดชิงในตอนนั้นมีการแบ่งเป็น 2 นัด สุดท้ายนัดแรกแพ้เอสปันญอล 3-0 ก่อนจะเอาคืนในบ้าน 3-0 พวกเขาได้ประตูจากติต้า, ฟัลโก เกิทซ์ และชา บุม คุน ทำให้สกอร์รวม 2 นัดนั้นเสมอกัน 3-3 ทำให้ต้องมาตัดสินด้วยการดวลจุดโทษ และเป็นทาง เลเวอร์คูเซน ที่เอาชนะไปได้ 3-2 คว้าแชมป์ยูฟ่าคัพสมัยแรกได้สำเร็จ

ในฤดูกาล 1991-1992 มีการเปลี่ยนกุนซือมาไรน์ฮาร์ด ซาฟติก ด้วยเป้าหมายในการคว้าสิทธิ์ไปเล่นในยูฟ่า แม้จะทำผลงานได้โอเคในช่วงแรกแต่ก็ไม่สามารถพาทีมคว้าสิทธิ์ไปเล่นในถ้วยยูฟ่าคัพได้สำเร็จ ด้วยปัญหาผู้เล่นบาดเจ็บ

ทีมเลเวอร์คูเว่นชุดแชมป์ เดเอฟเอ โพคาล ในฤดูกาล 1992-1993

ฤดูกาลต่อมาในปี 1992-1993 ไรน์ฮาร์ด ซาฟติก สามารถพาทีมเข้าชิงบอลถ้วยเดเอฟเบ โพคาลได้ แต่ผลงานในลีคไม่ดีเท่าที่ควร ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงกุนซือเป็น  ดราโกสลาฟ สเตปาโนวิช เข้ามารับตำแหน่งแทน และเขาก็สามารถพาทีมกลับมาคว้าสิทธิ์ไปเล่นในถ้วยยูฟ่าคัพได้สำเร็จ 

รองแชมป์ที่แสนเจ็บปวด

หลังจากคว้าแชมป์เดเอฟเอ โพคาล พวกเขาก็วนเวียนอยู่ในพื้นที่ลุ้นโควต้าบอลยุโรปและพื้นที่กลางตาราง จนกระทั่งการเข้ามาของ คริสตอป ดวม เรียกได้ว่าเป็นยุคทองของเลเวอร์คูเซ่นเลยก็ว่าได้ 

คริสตอป ดวม อดีตกุนซือเลเวอร์คูเซ่น ในปี1996-2000

ในฤดูกาล 1996-1997 ภายใต้การคุมทีมของ คริสตอป ดวม เข้ามาพาทีมขึ้นมาลุ้นแชมป์แบบเต็มตัว ทีมอุดมไปด้วยนักเตะคุณภาพ พวกเขาเปิดฤดูกาลได้อย่างยอดเยี่ยมด้วยการชนะทั้งแชมป์เก่าอย่างดอร์ทมุน และ เอาชนะบาเยิร์น มิวนิคได้ พวกเขาสามารถขึ้นจ่าฝูงได้ในเกมที่ 16 แต่การก็ขึ้นได้แค่สัปดาห์เดียว สุดท้ายพวกเขทำได้แค่เป็นรองแชมป์ลีก นับเป็นรองแชมป์ครั้งแรกในประวัติศาสตร์ โดยทำคะแนนแพ้ทีมแชมป์อย่าง บาเยิร์น มิวนิค ไปเพียง 1 แต้มเท่านั้น

ในฤดูกาล 1997-1998 เลเวอร์คูเซ่นได้เข้าไปเล่นในยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก เริ่มต้นฤดูกาลไม่ค่อยดี ผ่าน 8 นัด อยู่อันดับ 15 ของตาราง และผลงานในยูฟ่า แชมเปียนส์ลีกแม้จะผ่านเข้ารอบก็ต้องของแข็งอย่างเรอัลมาดริด  สุดท้ายก็ตกรอบในที่สุด จบฤดูกาลอันดับ 3 และ ได้โควต้าไปเล่นในยูฟ่าคัพ 

ในฤดูกาล 1998-1999 ในฤดูกาลนี้ ไบเออร์ เลเวอร์คูเซ่นได้แยกส่วนฟุตบอลอาชีพออกจากสโมสรโดยรวมอย่างทีเอสวี ไบเออร์ เลเวอร์คูเซ่น อย่างชัดเจน ฟอร์มในฤดูกาลนี้มีทั้งช่วงที่ดีและไม่ดี ทำให้พวกจบรองแชมป์ลีคเป็นครั้งที่ 2 แต่รอบนี้แต้มห่างจากบาเยิร์น มิวนิคถึง 15 แต้ม คว้าโควต้าไปยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก

ความผิดหวังหลังทีมจบด้วยการเป็นรองแชมป์ครั้งที่ 2

ในฤดูกาล 1999-2000 รอบนี้เลเวอร์คูเซ่น กลับมาลุ้นแชมป์แบบเต็มตัวอีกครั้ง มีการเสริมทัพด้วยนักเตะชั้นนำมากมายทั้ง มิชาเอล บัลลัค, แบรนด์ ชไนเดอร์, โอลิเวอร์ นอยวิลล์, ร็อบสัน ปอนเต้ และโธมัส บีรดาริช แม้ว่าผลงานในแชมเปียนส์ลีกจะตกรอบแบ่งกลุ่ม แต่ผลงานในลีกนับว่ายอดเยี่ยม พวกเขาทำสถิติไม่แพ้ใครในบ้าน โดยแบ่งเป็นชนะ 13 เสมอ 4 และยังทำผลงานในการเล่นนอกบ้านได้ดีไม่แพ้กัน 

พวกเขาใกล้เคียงกับการคว้าแชมป์ลีกเป็นอย่างมาก พวกเขาเป็นจ่าฝูงถึงนัดที่ 33 โดยมีแต้มนำบาเยิร์น มิวนิค 3 แต้ม แม้บาเยิร์นจะมีลูกได้เสียดีกว่า ในนัดสุดท้ายพวกเขาต้องเพียงแค่แต้มเดียวเท่านั้นเพื่อการันตีการคว้าแชมป์ แต่ทว่าในนัดสุดท้ายในเกมที่พวกเขาต้องเจอกับอุนเตอร์ฮัคกิ้ง ทีมกลางตาราง 

แต่พวกเขากลับพ่ายแพ้ โดยเริ่มจากการทำเข้าประตูตัวเองในนาทีที่ 21 ของ มิชาเอล บัลลัค ก่อนจะถูกยิงประตูทิ้งห่างเป็น 2-0 จบลงด้วยสกอร์นี้ ตัดสลับกลับไปที่บาเยิร์น มิวนิค พวกเขาสามารถเอาชนะแวร์เดอร์ เบรเมนได้ 3-1 ส่งผลให้บาเยิร์น มิวนิค ปาดหน้าคว้าแชมป์ไปอย่างแสนเจ็บปวด ด้วยคะแนนที่เท่ากันที่ 73 แต้ม แต่ บาเยิร์น มิวนิค ลูกได้เสียดีกว่า เรียกได้ว่าถูกปล้นแชมป์ไปจากมือเลยก็ว่าได้

รูดี้ โวลเลอร์ กุนซือชั่วคราว ในฤดูกาล 2000-2001

ในฤดูกาล 2000-2001 คริสตอป ดวม หลังผลงานได้ดีทำให้ทีมชาติเยอรมันสนใจดึงไปคุมทัพ แต่สุดท้ายก็ไม่เกิดขึ้น เนื่องจากมีข่าวลือว่า คริสตอป ดวม มีส่วนเกี่ยวข้องกับการเสพโคเคน ทำให้เขาจำเป็นต้องลาออกจากการเป็นกุนซือ ส่งผลให้เลเวอร์คูเซ่นต้องใช้กุนซือชั่วคราวอย่าง รูดี้ โวลเลอร์ มาคุมทัพแทน ก่อนจะมีการแต่งตั้ง แบร์ตี โฟกท์ส มาเป็นกุนซือ ผลงานในการคุมทัพไม่ดีเท่าที่ควร พวกเขาจบอันดับที่ 4 แต่ยังได้สิทธิ์ไปเล่นยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก ทำให้เขาถูกปลดในเวลาต่อมา

ในศึกเดเอฟเบ โพคาล นัดชิงชนะเลิศ เลเวอร์คูเซ่น เข้ารอบมาเจอกับ แฮร์ธ่า เบอร์ลิน ทีมในลีคสมัครเล่น รูปเกมเป็นเลเวอร์คูเซ่นคุมเกมได้ทั้งหมด ไม่ปล่อยให้เบอร์ลินยิงแม้แต่ครั้งเดียวก่อนจะมาได้ประตูชัยจาก อุลฟ์ เคิร์สเตน โดยลูกยิงลูกนี้ได้รับการตั้งชื่อว่า “ประตูแห่งทศวรรษ” ทำให้เลเวอร์คูเซ่นคว้าเดเอฟเบ โพคาลสมัยแรกได้สำเร็จและความสำเร็จถ้วยที่ 2 ในประวัติศาสตร์ของเลเวอร์คูเซ่น

ปีแห่งพระรอง ทริปเปิลรองแชมป์

เลเวอร์คูเซ่นชุดทริปเปิลรองแชมป์ ในฤดูกาล 2001-2002

ในฤดูกาล 2001-2002 ภายใต้การคุมทีมของกุนซือคนใหม่อย่าง เคล้าส์ ท็อปโมลเลอร์ ทีมชุดนี้เรียกได้ว่าอุดมไปด้วยนักเตะคุณภาพอย่าง มิชาเอล บัลลัค, ลูซิโอ้, ดีเอโก้ พลาเซนเต้, แบรนด์ ชไนเดอร์, โอลิเวอร์ นอยวิลล์ และการเซ็นสัญญาใหม่ 3 รายการเสริมความแข็งแกร่งให้กับทีม ได้แก่ จอร์จ บุตต์, ยิลดิเรย์ บาสเติร์ก และโซลตัน เซเบสเซน

พวกเขาเริ่มต้นฤดูกาลในลีกได้อย่างยอดเยี่ยม ด้วยชัยชนะ 2 นัดแรก ก่อนที่พวกเขาจะขึ้นจ่าฝูงในนัดที่ 13 พวกเขาเป็นจ่าฝูงถึงช่วงพักหนีหนาว หลังจากนั้นก็เสียตำแหน่งจ่าฝูงให้กับดอร์ทมุน แต่ก็สามารถยึดตำแหน่งจ่าฝูงกลับมาได้อีกครั้งหลังพวกเขาเอาชนะดอร์ทมุนได้ โดยพวกเขานำจ่าฝูงถึงนัดที่ 31 แต่มาพลาดแพ้ในนัดที่ 32 และ 33 ทำให้ดอร์ทมุนแซงเลเวอร์คูเซ่นขึ้นไปเป็นจ่าฝูงอีกครั้ง แม้ว่าในนัดสุดท้ายเลเวอร์คูเซ่นจะสามารถเอาชนะได้แต่ก็ไม่เพียงพอ ทำให้จบด้วยการเป็นรองแชมป์อีกครั้ง

ในบอลถ้วยเดเอฟเบ โคพาล พวกเขาสามารถฝ่าฟันเอาชนะและเข้ารอบมาได้เรื่อย ๆ ในรอบรองชนะเลิศพวกเขาต้องเจอกับ เอฟซี โคโลญจน์ พวกเขาเกือบตกรอบแต่มาได้ประตูตีเสมอในนาทีสุดท้ายและสามารถเอาชนะได้ 3-1 ในช่วงต่อเวลาพิเศษ ในรอบชิงชนะเลิศพวกเขาต้องมากับ ชาลเก้ แม้จะทำประตูขึ้นนำได้ก่อนแต่สุดท้ายก็พ่ายแพ้ไป 4-2 ทำให้พวกเขาจบด้วยการเป็นรองแชมป์อีกรายการ

ลูซิโอ กองหลังชาวบราซิล ยิงประตูใส่ลิเวอร์พูล ในศึกยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก ในฤดูกาล 2001-2002

ในยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก พวกเขาก็เล่นได้อย่างสมบูรณ์แบบด้วยชัยชนะ 3 นัดรวด เหนือ ลียง, บาร์เซโลนา, เฟเนร์บาห์เช่ ทำให้พวกพาเข้ารอบได้อย่างไม่ยากลำบาก โดยในรอบต่อไปพวกเขาได้มาอยู่ในกลุ่มที่เรียกได้แข็งพอสมควร โดยในกลุ่มมี ยุเวนตุส, ลาคอรุนญ่าและอาร์เซน่อล แต่ก็สามารถผ่านเข้ารอบมาได้ มาเจอกับลิเวอร์พูล แม้พวกเขาจะแพ้ในนัดที่ไปเยือน ก็สามารถมาเอาคืนได้ในบ้านเข้ารอบมาได้ 

ผ่านมาเจอทีมเต็งอย่าง แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด แต่ก็ไม่ใช่ปัญหาสำหรับพวกเขาสามารถผ่านเข้าชิงชนะเลิศได้ มาเจอกับเจ้ายุโรปอย่างเรอัล มาดริดในยุคกาลาติกอสที่เต็มไปด้วยซูเปอร์สตาร์ โดยในนัดนั้นเรอัลมาดริดได้ประตูนำไปก่อน 1-0 จากราอูล กอนซาเลส แต่เลเวอร์คูเซ่นก็ไม่ยอมแพ้ตามตีเสมอได้ 1-1 จากลูกโขกของลูซิโอ้ พวกเขาเริ่มมามีหวังอีกครั้ง 

ซีเนอดีน ซีดาน ยิงวอลเล่ย์สุดสวยใส่เลเวอร์คูเซ่นให้เรอัล มาดริดขึ้นนำ 2-1 ในนัดชิงชนะเลิศ ยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก ในฤดูกาล 2001-2002

จนกระทั้ง ซีเนอดีน ซีดาน มายิงลูกวอลเล่ย์สุดสวยทำให้เรอัล มาดริดขึ้นนำอีกครั้งเป็น 2-1 แม้เลเวอร์คูเซ่นจะบุกอย่างหนักแต่ไม่สามารถยิงผ่านมือของ อิเกร์ กาซิยาส ไปได้ ทำให้จบลงด้วยสกอร์นี้ ส่งผลให้พวกเขาจบด้วยการเป็นทริปเปิลรองแชมป์ ไปอย่างน่าปวดใจ

ห่างไกลจากความเป็นแชมป์

ช่วงที่ยากลำบากของเลเวอร์คูเซ่น

หลังจากฤดูกาลที่แสนเจ็บปวดผ่านไป พวกเข้าต้องเข้าสู่ช่วงที่ยากลำบากกราฟของทีมอยู่ในแนวโน้มขาลง เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงที่ค่อนข้างเยอะที่ต้องเสียผู้เล่นคนสำคัญหลายคนออกไปจากทีมในเกือบทุกฤดูกาลไม่ว่าจะเป็น มิชาเอล บัลลัค, เซ โรแบร์โต้, ลูซิโอ, ยิลดิเรย์ บาสเติร์ก, โอลิเวอร์ นอยวิลล์ และนักเตะคนอื่นๆ 

อีกทั้งผลงานของกุนซือที่เข้ามาคุมทีมก็ไม่ตอบโจทย์ในการที่จะลุ้นแชมป์ พวกเขากลายเป็นทีมขาประจำในฟุตบอลยุโรป แต่ห่างไกลจากคำว่าแชมป์ลีกไปเรื่อยๆ พวกเขามีทั้งฤดูกาลที่ทำได้ดีและฤดูกาลที่น่าผิดหวัง 

จุปป์ ไฮย์เกส อดีตกุนซือของเลเวอร์คูเว่น ในปี 2009-2011

แม้จะช่วงที่ได้กลับมาลุ้นแชมป์อีกครั้งในฤดูกาล 2010-2011 ในการคุมทัพของ จุปป์ ไฮย์เกส แต่ก็ไม่สามารถไปถึงฝั่งฝันได้จบในตำแหน่งรองแชมป์เหมือนเดิม โดยมีแต้มห่างดอร์ทมุนทีมแชมป์ 7 แต้มอย่างไรก็ตาม ไฮย์เกส เลือกตัดสินใจที่จะไม่ต่อสัญญาและออกจากเลเวอร์คูเซ่นในช่วงปิดฤดูกาล 2011 เพื่อเข้ารับตำแหน่งที่ บาเยิร์น มิวนิค

หลังจากฤดูกาล 2010-2011 พวกเขาก็กลับเข้าลูปเดิมในการเป็นทีมลุ้นโควต้าฟุตบอลยุโรป และเป็นทศวรรษของบาเยิร์น มิวนิคที่ครองแชมป์บุนเดสลีกาติดต่อกันอย่างยาวนาน จนกระทั่งการมาของชายที่มีชื่อว่า ชาบี อลอนโซ่

การเข้ามาของ ชาบี อลอนโซ่

ชาบี อลอนโซ่ กุนซือคนปัจจุบันของเลเวอร์คูเซ่น

ในฤดูกาล 2022-2023

ในฤดูกาล 2022-2023 เลเวอร์คูเซ่นเริ่มต้นฤดูกาลได้อย่างย่ำแย่ จากการคุมทัพของ เกราร์โด้ เซออนเน่ ทำให้มีความจำเป็นที่ต้องปลด และแต่งตั้ง  ชาบี อลอนโซ่ กุนซือชาวสเปน เข้ามาคุมทัพเลเวอร์คูเซ่น ในช่วงกลางฤดูกาล 

ซึ่งแม้ ชาบี อลอนโซ่ ในสมัยนักเตะจะเป็นสุดยอดกองกลาง ที่เคยคว้าแชมป์ฟุตบอลโลกกับสเปนมาแล้ว แต่ถ้าพูดถึงงานกุนซือในเวลานั้นเรียกได้ว่ายังเป็นกุนซือที่ยังไร้ประสบการณ์ในเวทีลีกสูงสุด  เขาเคยเป็นโค้ชเยาวชนที่เรอัลมาดริด ก่อนจะเริ่มเป็นโค้ชจริงจังที่ทีมสำรองที่เรอัล โซเซียดาด นับเป็นการตัดสินใจที่เสี่ยงอยู่พอสมควร 

แม้ในช่วงแรกอาจเริ่มต้นได้ไม่ค่อยดี  แต่ก็เขาค่อย ๆ พาทีมพัฒนาไปพร้อมกับตัวเขา ซึ่งหลังจากที่เขาเข้ามาเลเวอร์คูเซ่นก็อยู่ในแนวโน้มที่ดีขึ้นเรื่อย ๆ เขายกระดับฟอร์มนักเตะ เปลี่ยนแปลงระบบการเล่นมาเป็น 3-4-2-1 ปรับปรุงเกมรับและเกมรุก จนในฤดูกาลนั้นเขาสามารถผ่านทีมเข้ารอบรองชนะเลิศยูโรป้าได้สำเร็จ 

นับเป็นการเข้ารอบรองยูโรป้าครั้งแรกในรอบกว่า 20 ปี แม้สุดท้ายจะพ่ายต่อโรม่าของมูรินโญ่ก็ตาม อีกทั้งในลีกเขาก็สามารถพาทีมจากอันดับ 17 ขึ้นมาจบในอันดับ 6 คว้าโควต้าไปยูโรป้าลีกในฤดูกาลหน้าได้สำเร็จ 

ทีมเลเวอร์คูเซ่นในฤดูกาล 2023-2034

ในฤดูกาล 2023-2024 ชาบี อลอนโซ่พาลูกทีมบินสูงขึ้นเรื่อย ๆ จุดสำคัญคือการที่ยังรักษาขุนกำลังสำคัญไว้ได้ เสียไปแค่ มุสซ่า ดิยาบี้ ให้กับแอสตัน วิลล่า อีกทั้งการเสริมทัพที่ตรงจุดไม่ว่าจะเป็น กรานิต ซาก้า, วิคเตอร์ โบนีเฟซ, อเล็กซ์ กริมัลโดมา และโยนาส ฮอฟมันน์ เข้ามายกระดับทีมขึ้นมาท้าชิงแชมป์กับบาเยิร์น มิวนิคอย่างเต็มตัว

ในลีกเลเวอร์คูเซ่นเริ่มต้นฤดูกาลได้อย่างยอดเยี่ยม ด้วยการเล่นที่เป็นระบบบวกกับความมั่นใจที่เพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ ทำให้พวกเขา ไล่บี้กับบาร์เยิร์น มิวนิคอย่างสูสี แม้จะเจอด่านทดสอบทั้งนักเตะคนสำคัญที่ต้องเล่นแอฟริกา คัพ ออฟ เนชั่นส์ ในช่วงกลางฤดูกาลและ อาการบาดเจ็บของนักเตะคนสำคัญอย่าง โบนีเฟซ แต่พวกเขาก็ยังรักษามาตราฐานและความสม่ำเสมอเอาไว้ได้ 

พวกเขาทำผลงานได้ดีอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะทีมเล็กหรือทีมใหญ่พวกเขาสามารถเอาชนะได้หมด ซึ่งต่างจากบาเยิร์น มิวนิคทีมคู่แข่งแย่งแชมป์ที่ผลงานในช่วงหลังกลับดรอปลงไป ทำให้พวกเขาทำคะแนนทิ้งห่างบาเยิร์น มิวนิค ไปถึง 16 แต้มในเกมนัดลีกนัดที่ 28 ซึ่งส่งผลให้ถ้าเกมลีกนัดหน้าที่เลเวอร์คูเซ่นจะเจอแวร์เดอร์ เบรเมน ถ้าพวกเขาชนะได้จะการันตีคว้าแชมป์บุนเดสลีกาสมัยแรกได้ทันที 

โดยเลเวอร์คูเซ่นก็ไม่ทำให้ผิดหวังด้วยการเอาชนะเบรเมนไป 5-0 สิ้นสุดการรอคอย 120 ปี เรียกว่าเป็นฤดูกาลประวัติศาสตร์เลยก็ว่าได้ ด้วยผลงาน 29 นัด ชนะ 24 เสมอ 4 ยังไม่แพ้ใคร เก็บได้ 79 แต้ม ได้แชมป์โดยที่ยังการแข่งยังเหลืออีก 5 นัด อีกทั้งยังมีลุ้นในการสร้างประวัติศาสตร์เป็นแชมป์ไร้พ่ายอีกด้วย

ทีมเลเวอร์คูเซ่นในศึกเดเอฟเบ โพตาล ที่เอาชนะดุสเซลดอร์ฟได้ 4-0

ในบอลถ้วยเดเอฟเบ โพคาล พวกเขาสามารถฝ่าฟันเอาชนะและเข้ารอบมาได้เรื่อย ๆ ด้วยการผ่านทั้ง พาเดอร์บอร์น, สตุ๊ตการ์ท และ ดุสเซลดอร์ฟ ได้อย่างไม่ยากลำบาก ผ่านเข้าชิงชนะเลิศมาเจอกับ ไกเซอร์สเลาเทิร์น ทีมในบุนเดสลีก้า 2 พวกเขาต้องการชนะอีกเพียงนัดเดียวเพื่อเป็นแชมป์เดเอฟเบ โพคาล

ในศึกยูโรป้าลีก พวกเขาทำผลงานได้อย่างน่าประทับใจ โดยที่ยังไม่แพ้ใคร จนสามารถฝ่าฝันเข้ารอบ 8 ทีมได้สำเร็จและต้องมาเจอกับเวสแฮมต์ ของ เดวิด มอยส์  ซึ่งผลงานในเลกแรกพวกเขาก็สามารถเอาชนะไปได้ 2-0 ทำให้เลเวอร์คูเซ่นในเวลานี้ถูกยกเป็นเต็ง 1 ที่จะคว้าแชมป์ยูโรป้าลีก

ในท้ายที่สุดก็ต้องมาดูกันว่า ชาบี อลอนโซ่ จะพาเลเวอร์คูเซ่นทีมนี้ไปหยุดที่ตรงไหน กับอีก 2 รายการที่ยังอยู่ในเส้นทางในการลุ้นทำทริปเปิลแชมป์ และ หนทางในการสร้างประวัติศาสตร์ในการเป็นแชมป์ไร้พ่าย เรียกได้ว่าน่าติดตามเป็นอย่างยิ่ง