ในช่วงสิบปีที่ผ่านมา หลายคนคงรู้สึกว่าภาวะโลกร้อนนั้นรุนแรงและมาเร็วกว่าที่คิด เราได้เห็นสถิติปีที่ร้อนที่สุดในประวัติศาสตร์ถูกทำลายลงซ้ำแล้วซ้ำเล่า แต่เคยสงสัยไหมว่า อะไรคือสาเหตุที่ทำให้ทุกอย่างมัน “เร่งสปีด” ขึ้นขนาดนี้ ? คำถามนี้ได้กลายเป็นปริศนาสำคัญที่นักวิทยาศาสตร์ทั่วโลกกำลังหาคำตอบ

ล่าสุด งานวิจัยชิ้นใหม่ได้ชี้ไปที่คำตอบที่อาจฟังดูย้อนแย้งที่สุด คือ การที่เราจริงจังกับการลดมลพิษทางอากาศ โดยเฉพาะในจีนและเอเชียตะวันออก อาจเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้โลกร้อนขึ้นเร็วกว่าเดิม

ปริศนาอุณหภูมิที่พุ่งไม่หยุด

ก่อนหน้านี้ นักวิทยาศาสตร์เคยมองว่าสาเหตุอาจมาจากการควบคุมการปล่อยก๊าซซัลเฟอร์ในอุตสาหกรรมเดินเรือ แต่มาตรการนี้เพิ่งเริ่มจริงจังเมื่อปี 2020 ผลกระทบจึงยังไม่มากพอที่จะอธิบายทุกอย่างได้ ขณะที่นักวิจัยจาก NASA ก็ชี้ว่าการเปลี่ยนแปลงของเมฆ ทั้งการลดลงของเมฆในเขตร้อนชื้นหรือเหนือมหาสมุทรแปซิฟิกเหนือ อาจมีส่วนเกี่ยวข้องเช่นกัน

แต่มีจิ๊กซอว์ชิ้นหนึ่งที่ถูกมองข้ามไป นั่นคือ ความพยายามอย่างมหาศาลของจีนและประเทศในเอเชียตะวันออกในการต่อสู้กับมลพิษทางอากาศ เพื่อสุขภาพของประชาชน นับตั้งแต่ปี 2013 เป็นต้นมา ภูมิภาคนี้ลดการปล่อยซัลเฟอร์ไดออกไซด์ลงได้ถึง 75% และที่น่าสนใจคือ ช่วงเวลาที่ความพยายามนี้เข้มข้นขึ้น กลับเป็นช่วงเดียวกับที่โลกร้อนเริ่มเร่งสปีดพอดี

เมื่อ “เกราะกำบัง” จากมลพิษจางหายไป เผยให้เห็นผลกระทบแท้จริง

งานวิจัยชิ้นนี้เกิดจากความร่วมมือของทีมนักวิทยาศาสตร์ 8 ทีมทั่วโลก และได้ข้อสรุปที่น่าสนใจและน่ากังวลในเวลาเดียวกัน

มลพิษในอากาศที่ผ่านมานั้น ทำหน้าที่เหมือน “เกราะ” ที่คอยบดบังผลกระทบที่แท้จริงของภาวะโลกร้อนเอาไว้ และเมื่ออากาศสะอาดขึ้น “หน้ากาก” ที่ว่านี้ก็ถูกถอดออก เผยให้เห็นความรุนแรงของปัญหาที่ซ่อนอยู่

แม้ว่ามลพิษทางอากาศจะเป็นภัยร้ายต่อสุขภาพ แต่ในอีกมุมหนึ่ง ฝุ่นควันและมลพิษเหล่านี้มีคุณสมบัติเหมือนเกราะที่ช่วยสะท้อนแสงอาทิตย์กลับไป ไม่ให้ตกกระทบถึงพื้นผิวโลกโดยตรง ซึ่งช่วยชะลอภาวะโลกร้อนที่เกิดจากมนุษย์ไว้ได้ถึง 0.5°C ตลอดศตวรรษที่ผ่านมา

พอเราจัดการอากาศให้สะอาดขึ้น ซึ่งเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่ง “เกราะกำบังแสงอาทิตย์” ที่เกิดขึ้นโดยไม่ตั้งใจนี้ก็หายไป ในขณะที่การปล่อยก๊าซเรือนกระจกยังคงเพิ่มขึ้นไม่หยุด ผลลัพธ์คือ พื้นผิวโลกเลยร้อนขึ้นเร็วกว่าที่เคยเป็นมา

ผลลัพธ์แบบจำลองทางวิทยาศาสตร์

ทีมวิจัยได้ใช้แบบจำลองคอมพิวเตอร์กว่า 160 ชุด เพื่อจำลองสถานการณ์การลดมลพิษในเอเชียตะวันออก และพบว่าการลดมลพิษเพียงอย่างเดียว ทำให้โลกร้อนขึ้นทั่วโลกอีกประมาณ 0.07°C

แม้ในเชิงตัวเลขจะดูน้อย แต่ในความเป็นจริงอุณหภูมิที่เพิ่มขึ้นเพียงเล็กน้อยส่งผลกระทบได้มหาศาล เพราะจากแนวโน้มเดิม เราคาดว่าอุณหภูมิตั้งแต่ปี 2010 ควรเพิ่มขึ้นประมาณ 0.23°C แต่ในความเป็นจริงกลับพุ่งไปถึง 0.33°C

ส่วนต่างที่เพิ่มขึ้นมาเพียง 0.1°C นี้เอง คือชิ้นส่วนปริศนาที่หายไป ซึ่งการลดมลพิษในเอเชียตะวันออกคือคำอธิบายชิ้นสำคัญ เมื่อรวมกับปัจจัยอื่น ๆ เช่น การปล่อยก๊าซมีเทนที่เพิ่มขึ้น

แต่ “ก๊าซเรือนกระจก” ยังคงเป็นตัวร้าย

สิ่งสำคัญที่สุดที่ต้องย้ำคือ ต้นตอหลักและผู้ร้ายตัวจริงของภาวะโลกร้อนยังคงเป็นการปล่อยก๊าซเรือนกระจก การทำความสะอาดมลพิษทางอากาศเป็นสิ่งที่ถูกต้องและจำเป็น มันไม่ได้ “ก่อให้เกิด” ภาวะโลกร้อน แต่เป็นการ “กำจัด” ตัวช่วยลดความร้อนที่เกิดขึ้นโดยไม่ตั้งใจ ซึ่งเคยช่วยปกป้องเราจากสภาพอากาศสุดขั้วมาโดยตลอด

แม้ว่าผลกระทบจากการ “เปิดหน้ากาก” ครั้งนี้อาจเป็นเพียงระยะสั้น เพราะมลพิษจะถูกชะล้างจากชั้นบรรยากาศได้เร็ว แต่สิ่งที่มันเปิดโปงออกมาคือความจริงอันน่ากังวล นี่คือสัญญาณเตือนที่ดังกว่าเดิมว่า ปัญหาโลกร้อนนั้นรุนแรงและเร่งด่วนกว่าที่เราเคยประเมินไว้มาก และการลงมือทำอย่างจริงจังเพื่อลดก๊าซเรือนกระจกคือทางรอดเดียวที่เหลืออยู่