บทความนี้ไม่ได้มีเจตนาลดทอนคุณค่าความสัมพันธ์ครอบครัว แต่จะชวนสำรวจมุมมองความเป็นไปได้ที่จะเปรียบเทียบ ลูก กับ ภาระ ในหลายมิติ ผ่านการวิเคราะห์เพื่อให้เห็น “ต้นทุน” ที่แท้จริงของการมีลูกหนึ่งคน ซึ่งอาจทำให้เราเข้าใจเหตุผลที่คนมีลูกกันน้อยลงมากยิ่งขึ้น
การมีลูก คือหนึ่งในความฝันของคู่รักหลายคู่ แต่ในยุคปัจจุบันที่โลกเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว การมีลูกไม่ใช่แค่เรื่องของการดำรงเผ่าพันธุ์อีกต่อไป เห็นได้ว่าคนยุคใหม่มีลูกน้อยลง อัตราการเกิดก็ต่ำลงทำลายสถิติในหลายประเทศ แม้ประเทศที่เจริญแล้วก็ตาม
ความรักที่พ่อแม่มีต่อลูกนั้นคือรูปแบบของความสัมพันธ์ที่ทรงพลังที่สุด แต่หากเราลองถอดแว่นแห่งความรักออก แล้วสวมแว่นของยุคสมัย เราอาจพบความจริงที่น่าอึดอัดและต้องยอมรับที่ซ่อนอยู่ในความสัมพันธ์นี้
ต้นทุนทางสุขภาพ เมื่อร่างกายของแม่อาจเปรียบได้กับโฮสต์
ปรสิต คือสิ่งมีชีวิตที่อาศัยอยู่บนหรือในสิ่งมีชีวิตอื่น (Host) และได้รับประโยชน์ผ่านการดูดซึมสารอาหาร โดยที่เจ้าบ้านเป็นฝ่ายเสียประโยชน์ ความสัมพันธ์ระหว่างทารกในครรภ์กับแม่ก็อาจมีความคล้ายกันอยู่บ้าง แต่แน่นอนว่าการมีลูกไม่ใช่ปรสิตในเชิงชีววิทยา
ตลอด 9 เดือน ทารกจะดึงสารอาหารที่จำเป็นต่อการเจริญเติบโตจากร่างกายแม่ผ่านทางสายรก ไม่ว่าจะเป็นแคลเซียมจากกระดูกและฟัน ธาตุเหล็กจากเลือด หรือโปรตีนจากกล้ามเนื้อของแม่ นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมในช่วงที่คุณแม่ตั้งครรภ์ถึงควรดูแลตัวเองเป็นอย่างดี กินอาหารดี ๆ ใช้อาหารเสริมตามที่หมอแนะนำ ซึ่งตามมาด้วยค่าใช้จ่ายที่สูงขึ้น
หลายคนอาจมองว่าคนสมัยก่อนไม่ใช้ของพวกนี้ก็คลอดทารกที่แข็งแรงได้ แต่ในยุคนี้ การเลือกที่จะมีลูก แต่เพิกเฉยต่อการมอบสิ่งที่ดีสุดให้เขาทั้งที่รู้ อาจกลายเป็นความรู้สึกผิดติดตัวพ่อแม่ไปชั่วชีวิต แล้วเราพร้อมจ่ายแค่ไหนในยุคที่เศรษฐกิจทั่วโลกไม่แน่นอน
แม้การตั้งครรภ์เป็นสิ่งมหัศจรรย์ทางชีววิทยา แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่าหากมองลึกลงไปก็มีหลายอย่างที่คนเป็น ‘แม่’ ต้องแลกมา อย่างไรก็ตาม การอุ้มท้องนับเป็นสิ่งมหัศจรรย์ที่สุดอย่างหนึ่งของมนุษย์เพศหญิง ที่แม้จะรู้ว่าต้องพบเจอกับความเหนื่อยล้า เจ็บปวด และความกลัว แต่ยังคงมีความกล้าและตั้งใจเพื่อให้อีกหนึ่งชีวิตได้เกิดมา
ลูก การลงทุนที่ไม่มีวันคุ้มทุน ?
หากเปรียบเทียบว่าลูกเป็นปรสิต อาจทำให้หลายคนเดือดดาลแล้ว หากเปรียบว่าลูกเป็นการลงทุน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการเลี้ยงดูหรือความคาดหวัง คงแย่เข้าไปใหญ่ ก่อนอื่นเลยต้องยอมรับก่อนว่าการเลี้ยงดูพ่อแม่เพื่อตอบแทนเป็นนอร์มของสังคมไทย
คนส่วนใหญ่เกิดมาจากความรัก แต่เราก็ยังคงถูกผูกมัดในการดูแลพ่อแม่ที่เลี้ยงดูเรามา ซึ่งหลายคนเห็นตรงกันว่าไม่มีวันหมด และในแง่การเงิน พ่อแม่ส่วนใหญ่ไม่คุ้มทุนแน่นอน
หากความสัมพันธ์ทางกายภาพคือการสูบเลือดจากร่างกาย ความสัมพันธ์ทางการเงินก็คือการสูบเงินจากกระเป๋าเงินอย่างต่อเนื่องและยาวนาน
ในทางเศรษฐศาสตร์ การลงทุนคือการใช้จ่ายทรัพยากรในวันนี้ เพื่อคาดหวังผลตอบแทนที่สูงกว่าในอนาคต แต่การเลี้ยงลูกหนึ่งคนกลับมีลักษณะเป็น ทุนจม ที่เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ โดยไม่มีผลตอบแทนทางการเงินที่วัดผลได้โดยตรง
ข้อมูลจากสภาพัฒน์ในปี 2022 ชี้ว่าค่าใช้จ่ายในการเลี้ยงลูกหนึ่งคนจนจบการศึกษาระดับปริญญาตรีในประเทศไทย อาจสูงถึง 1.5 ล้านบาท หรือมากกว่านั้น ตัวเลขนี้ครอบคลุมเพียงค่าใช้จ่ายพื้นฐาน เช่น ค่าเล่าเรียน ค่าอาหาร ค่ารักษาพยาบาล และเสื้อผ้า ซึ่งหักจากเงินสนับสนุนของรัฐฯ แล้วด้วย ยังไม่รวมค่าใช้จ่ายอื่น ๆ อย่างการท่องเที่ยว หรือคอร์สเรียนพิเศษ
พ่อแม่ยังมีต้นทุนค่าเสียโอกาสที่ส่งผลกระทบมหาศาล เงินที่ใช้ไปกับลูก คือเงินที่พ่อแม่ไม่สามารถนำไปลงทุนในหุ้น หรือกองทุนรวม เพื่อสร้างความมั่งคั่งในวัยเกษียณได้ เวลาที่ใช้ในการดูแลลูก โดยเฉพาะกับแม่ อาจหมายถึงการละทิ้งความก้าวหน้าในอาชีพ ที่อาจกระทบศักยภาพการหาเงินไปตลอดชีวิต
แน่นอนว่าเรายังไม่ได้พูดถึงเวลาในการใช้ชีวิตของพ่อแม่ ความเหน็ดเหนื่อยทางกายทางใจ การรับมือกับความแตกต่างของเจเนอเรชัน หรือปัญหาของลูกในแต่ละช่วงวัยท่ามกลางสังคมที่ซับซ้อนขึ้นเรื่อย ๆ
จาก ปรสิต-ภาระ สู่ ส่วนหนึ่งของชีวิต
ถึงจุดนี้ การเปรียบเทียบอาจฟังดูหดหู่ แต่ในมิติของสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์กลับทำให้ความสัมพันธ์นี้พัฒนาจากภาวะที่คล้ายภาวะปรสิต (Parasitism) ไปสู่ภาวะพึ่งพากัน (Symbiosis) ที่ซับซ้อนและสวยงาม
แม้ว่าพ่อแม่หรือเจ้าบ้านจะเป็นผู้ให้ทรัพยากรทางกายและทรัพย์สิน แต่สิ่งที่ได้รับกลับมานั้นเป็นสิ่งที่ประเมินค่าไม่ได้ในทางเศรษฐศาสตร์ นั่นคือ ความผูกพันทางอารมณ์และจิตใจ
การมีปฏิสัมพันธ์กับลูกจะกระตุ้นการหลั่งฮอร์โมน ออกซิโทซิน (Oxytocin) หรือที่เรียกว่า ฮอร์โมนแห่งความรัก ซึ่งสร้างความรู้สึกผูกพัน ลดความเครียด และเพิ่มความสุข การได้เห็นพัฒนาการของลูก การได้สอนและชี้นำ กลายเป็นแหล่งที่มาของความหมายและเป้าหมายในชีวิตให้กับคนจำนวนมาก
ดังนั้น แม้ในช่วงแรกของชีวิต ลูกจะมีลักษณะคล้ายปรสิตที่ต้องพึ่งพิงพ่อแม่เพื่อความอยู่รอด แต่เมื่อเวลาผ่านไป ความสัมพันธ์นี้ได้แปรเปลี่ยนเป็นการพึ่งพากันทางจิตใจ ซึ่งท้ายที่สุดแล้ว “เจ้าบ้าน” เองก็ไม่อาจมีชีวิตที่มีความสุขและสมบูรณ์ได้หากปราศจาก “ปรสิต” ที่ตนรัก
การเปรียบเทียบลูกกับปรสิตอาจฟังดูเป็นการเปรียบเทียบที่รุนแรง แต่เมื่อพิจารณาผ่านเลนส์ของการตั้งครรภ์และการเงิน มันคือภาพสะท้อนที่ตรงไปตรงมาของต้นทุนที่ต้องจ่ายเพื่อสร้างครอบครัว ไม่นับเรื่องเวลาและการใช้ชีวิตของพ่อแม่ที่สูญเสียไปในช่วงการเลี้ยงลูก
ความสัมพันธ์นี้เริ่มต้นจากการเป็นผู้ให้และผู้รับอย่างชัดเจน แต่สิ่งที่แตกต่างจากความสัมพันธ์ของปรสิตในธรรมชาติคือ ความรักและความยินยอม
หากจะเปรียบลูกเป็นปรสิต ก็คงเป็นปรสิตเพียงหนึ่งเดียวในโลกที่เจ้าบ้านเลือกที่จะอ้าแขนรับด้วยความเต็มใจ และยอมสละทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อดูแลให้ปรสิตน้อย ๆ นี้เติบโต จนในที่สุดก็กลายเป็นส่วนที่ล้ำค่าที่สุดในชีวิตของเจ้าบ้านเอง
อย่างไรก็ตาม ท่ามกลางพายุแห่งความไม่แน่นอนของยุคสมัย การมีลูกนั้นต้องอาศัยความกล้าและความพร้อมมากกว่าช่วงเวลาไหนของประวัติศาสตร์มนุษย์