บริษัทเทคโนโลยีที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นเงาของรัฐบาลสหรัฐฯ กำลังกลายเป็นดาวรุ่งแห่งวงการ AI ที่ทั่วโลกต้องหันมาจับตามอง ชื่อของมันคือ Palantir Technologies หรือที่นักลงทุนรู้จักในชื่อหุ้น PLTR จากบริษัทที่ทำงานลับ ๆ เบื้องหลังหน่วยข่าวกรอง

แต่วันนี้แพลตฟอร์ม AI ของพวกเขากำลังสร้างการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ให้กับธุรกิจเอกชนทั่วโลก และนี่คือเรื่องราวที่เปลี่ยนจากความลับมาสู่ความตื่นตะลึงบนวอลล์สตรีท

แก่นแท้ที่ทำให้ Palantir แตกต่างคือแนวคิดที่เรียกว่า Intelligence Augmentation หรือการเพิ่มขีดความสามารถของมนุษย์ด้วยความฉลาดของเครื่องจักร

Palantir ไม่ได้แค่สร้าง AI แต่พวกเขาสร้าง “ระบบปฏิบัติการ” ที่ช่วยให้ข้อมูลจำนวนมหาศาลที่กระจัดกระจายในองค์กรถูกจัดระเบียบและเชื่อมโยงเข้าด้วยกัน ทำให้มนุษย์มองเห็นภาพรวมและตัดสินใจในสถานการณ์ที่ซับซ้อนได้อย่างรวดเร็ว

นี่คือบทความที่จะพาคุณไปเจาะลึกทุกแง่มุมของ Palantir ตั้งแต่รากฐานอันลึกลับที่ก่อตั้งโดยผู้ร่วมก่อตั้ง PayPal ไปจนถึงผลิตภัณฑ์ทรงพลังอย่าง Palantir Gotham, Palantir Foundry และ Palantir AIP และสำรวจถึงความไม่สมเหตุสมผลของราคาหุ้นที่แพงจนนักวิเคราะห์ต้องเตือนว่าอาจไม่ยั่งยืน และอาจนำไปสู่การปรับฐานครั้งใหญ่ในอนาคต

จากภารกิจลับสู่การปฏิวัติภาคเอกชน

เรื่องราวของ Palantir เริ่มต้นในปี 2003 โดยมี Peter Thiel ซึ่งเป็นผู้ร่วมก่อตั้ง PayPal เป็นหัวหอก เขาและทีมผู้ก่อตั้งซึ่งประกอบด้วย Alex Karp, Nathan Gettings, Joe Lonsdale และ Stephen Cohen มีแรงบันดาลใจจากความสำเร็จในการพัฒนาระบบตรวจจับการฉ้อโกงของ PayPal ที่สามารถระบุพฤติกรรมน่าสงสัยจากข้อมูลจำนวนมากได้

หลังเหตุการณ์ 11 กันยายน 2001 พวกเขาเห็นโอกาสที่จะนำเทคโนโลยีนี้มาใช้เพื่อป้องกันการก่อการร้ายในระดับประเทศ

แพลตฟอร์มแรกคือ Palantir Gotham ซึ่งเปิดตัวในปี 2008 โดยชื่อได้แรงบันดาลใจจาก “หินพยากรณ์” ในนิยาย Lord of the Rings Gotham ถูกออกแบบมาเพื่อหน่วยงานข่าวกรองและกองทัพ เพื่อเชื่อมโยงฐานข้อมูลที่เคยแยกส่วนเข้าด้วยกัน ช่วยให้เจ้าหน้าที่วิเคราะห์มองเห็นความเชื่อมโยงที่ซับซ้อนของข้อมูลได้ ถูกนำไปใช้ในปฏิบัติการทางการทหาร, การสืบสวนคดีอาชญากรรม และการต่อต้านการก่อการร้าย

หลังจากสร้างชื่อเสียงในตลาดภาครัฐ Palantir ก็เริ่มเจาะตลาดภาคเอกชนในปี 2015 ด้วยการเปิดตัว Palantir Foundry ช่วยให้บริษัทนำข้อมูลที่กระจัดกระจายจากหลายแหล่งมารวมกัน และสร้าง “Digital Twin” หรือฝาแฝดเสมือนขององค์กรขึ้นมา เพื่อจำลองและวิเคราะห์ผลลัพธ์ของการตัดสินใจก่อนที่จะลงมือทำจริง

ตัวอย่างความสำเร็จคือ Airbus ใช้ Foundry ในการเชื่อมโยงข้อมูลการผลิตและสามารถเร่งการผลิตเครื่องบิน A350 ได้เร็วขึ้นกว่า 30% รวมถึง Fujitsu ที่ใช้ Foundry เพื่อลดต้นทุนสินค้าคงคลังได้มากถึง 9,000,000 เหรียญในเวลาเพียงสามเดือน

ส่วน Palantir Artificial Intelligence Platform (AIP) คือสะพานที่เชื่อมโมเดลภาษาขนาดใหญ่ (LLMs) เข้ากับข้อมูลและระบบการปฏิบัติงานที่แท้จริงขององค์กรได้อย่างราบรื่นและปลอดภัย

จุดเด่นสำคัญของ AIP คือการสร้างขึ้นบนรากฐานของ Palantir Foundry ทำให้สามารถผสานรวมกับข้อมูลที่มีอยู่ของลูกค้าได้ทันที และยังมาพร้อมกับระบบรักษาความปลอดภัย, การควบคุมการเข้าถึง, และการตรวจสอบข้อมูลระดับสูงที่สั่งสมประสบการณ์มาจากการทำงานกับหน่วยงานด้านความมั่นคง

ความสำเร็จของ AIP ได้รับการยืนยันจากลูกค้ามากมาย เช่น โรงพยาบาล Cone Health ที่ใช้ Palantir AIP เพื่อพัฒนาแอปพลิเคชันที่ใช้ AI ช่วยเขียนจดหมายอุทธรณ์สำหรับเคสที่บริษัทประกันปฏิเสธการจ่ายเงิน ช่วยลดภาระงานของแพทย์ลงได้มาก

นอกจากนี้ บริษัท Charter Steel ยังใช้ AIP ในการวางแผนตารางการผลิต โดย AI จะสร้างตัวเลือกที่ดีที่สุดหลายแบบตาม KPI ที่กำหนด ซึ่งช่วยให้การทำงานร่วมกันระหว่างมนุษย์กับ AI มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ความน่าเชื่อถือของ AIP ยังถูกตอกย้ำด้วยดีลใหญ่กับบริษัท Boeing ที่จะนำแพลตฟอร์ม Palantir Foundry มาใช้ในการรวมระบบข้อมูลที่กระจัดกระจายในโรงงานผลิต

รายได้เกมสองทาง ระหว่างรัฐบาลและเอกชน

Palantir มีรายได้จากสองตลาดหลักคือภาครัฐ (Government Operating Segment) และภาคเอกชน (Commercial Segment) ข้อมูลจากงบประมาณปี 2024 แสดงให้เห็นว่ารายได้จากภาครัฐยังคงเป็นสัดส่วนใหญ่ที่สุดที่ 54.78%

แต่รายได้จากภาคเอกชนก็มีอัตราการเติบโตที่รวดเร็วถึง 29.23% ซึ่งแสดงให้เห็นว่ากลยุทธ์การเจาะตลาดภาคเอกชนเริ่มประสบความสำเร็จอย่างมีนัยสำคัญ

อย่างไรก็ตาม การทำงานใกล้ชิดกับรัฐบาลทำให้ Palantir เผชิญกับคำวิจารณ์เรื่องความเป็นส่วนตัวของข้อมูลพลเรือน

แม้จะมีคำวิจารณ์ แต่การที่รายได้จากภาคเอกชนเติบโตอย่างรวดเร็วจึงมีความสำคัญอย่างยิ่ง เพราะมันไม่ใช่แค่การเพิ่มรายได้ แต่เป็นการกระจายความเสี่ยง (Diversification) และเป็นการพิสูจน์ว่าโมเดลธุรกิจของ Palantir สามารถยืนได้ด้วยตัวเองโดยไม่ต้องพึ่งพิงตลาดภาครัฐเพียงอย่างเดียว

Palantir ในวันที่ราคาแซงหน้าทุกเหตุผล

ในแง่ของผลประกอบการ Palantir กำลังทำผลงานได้อย่างน่าทึ่ง ในไตรมาสที่ 2 ปี 2025 บริษัทรายงานรายได้ที่แข็งแกร่งเกินคาด โดยทำรายได้ทะลุ 1 พันล้านเหรียญเป็นครั้งแรก และยังคงทำกำไรได้ต่อเนื่องเป็นไตรมาสที่ 7 ติดต่อกัน

โดยเฉพาะอย่างยิ่งรายได้จากภาคเอกชนในสหรัฐฯ ที่พุ่งสูงขึ้นถึง 93% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน แสดงให้เห็นว่าการลงทุนในแพลตฟอร์ม AIP ของพวกเขากำลังให้ผลตอบแทนเป็นอย่างดี

แต่ราคาหุ้นของพวกเขากลับถูกประเมินค่าสูงลิ่วจนนักวิเคราะห์ต้องออกมาเตือน Palantir มีอัตราส่วนราคาต่อยอดขาย (P/S ratio) ที่สูงถึง 131 เท่า ซึ่งทำให้มันกลายเป็นหุ้นที่แพงที่สุดในดัชนี S&P 500

และหากมองย้อนไปในประวัติศาสตร์ตลาดหุ้น มีเพียงหุ้นซอฟต์แวร์เพียงไม่กี่ตัวในรอบสองทศวรรษที่เคยมีค่า P/S ratio สูงกว่า 120 เท่า และหุ้นเหล่านั้นล้วนแต่ต้องเผชิญกับการปรับฐานอย่างรุนแรงในเวลาต่อมา การที่ราคาหุ้นพุ่งขึ้นอย่างบ้าคลั่งนั้นสะท้อนถึงอารมณ์ของตลาดและ “เรื่องเล่า” ของ AI ที่ยิ่งใหญ่มากกว่าปัจจัยพื้นฐานที่แท้จริ

สรุปแล้ว Palantir เป็นบริษัทที่ยอดเยี่ยม แต่ราคาหุ้นที่อยู่เหนือเหตุผลทางเศรษฐศาสตร์ใดๆ เป็นความเสี่ยงที่นักลงทุนต้องตระหนัก การลงทุนใน Palantir ในเวลานี้จึงต้องแยกให้ออกระหว่าง “ความยอดเยี่ยม” ของบริษัท กับ “ความเสี่ยง” ของราคาหุ้นที่อาจนำไปสู่การขาดทุนอย่างมหาศาลหากเกิดการปรับฐาน