[มีการเปิดเผยเนื้อหาสำคัญในภาพยนตร์เรื่อง No Other Choice]

‘No Other Choice’ หรือในชื่อไทย ‘งานนี้…ฆ่าเอา’ เป็นภาพยนตร์เกาหลีแนวตลก-กระตุกขวัญที่บอกเล่าเรื่องราวของ ‘ยู มันซู’ ชายวัยกลางคน ซึ่งทำงานเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านกระดาษมายาวนานกว่า 25 ปี แต่ถูกเลิกจ้าง (Laid-off) กะทันหันเพราะงานที่เขาทำมีนวัตกรรมอย่าง ‘AI’ เข้ามาแทนที่ ทำให้ มันซู ผู้เป็นเสาหลักของครอบครัวต้องพยายามหางานใหม่และดิ้นรนอย่างหนักเพื่อหารายได้มาเลี้ยงดูภรรยา ลูกทั้ง 2 คน และหมาอีก 2 ตัว แต่การจะได้งานในตำแหน่งที่สูงขึ้นในบริษัทกระดาษชื่อดังและเรียกเงินที่เขาต้องการ ก็ต้องต่อสู่กับคู่แข่งที่เก่งกว่าตัวเอง มันซูจึงต้องคิดแผนการ ‘กำจัด’ คู่แข่ง เพื่อที่จะให้ตนเป็นผู้สมัครคนเดียวที่มีคุณสมบัติเพียบพร้อมที่สุด 

ที่เกริ่นไปข้างต้นคือเรื่อวราวฉบับย่อของภาพยนตร์เรื่องนี้ ซึ่งมันก็คือทั้งหมดของหนังเรื่องนี้ด้วยเหมือนกัน เพราะนี่คือเรื่องราวที่ตีแผ่สังคมการทำงานในยุคทุนนิยมได้อย่างเจ็บแสบ 

เพราะ AI คือหายนะของชนชั้นกลาง ? 

ภรรยาที่ต้องทำงานพาร์ตไทม์ในสภาพแวดล้อมที่มีการเปรียบเทียบกับเพื่อนร่วมงานที่รวยกว่า ลูกสาวที่มีพรสวรรค์ด้านดนตรีแต่ต้องใช้เงินมหาศาลในการส่งไปเรียนกับผู้เชี่ยวชาญ ลูกชายที่กำลังโตเป็นวัยรุ่น บ้านที่หาเงินซื้อมากับมือกำลังจะโดนยึด

แรงจูงใจที่ทำให้มันซูต้องหาหนทางกำจัดคู่แข่งไม่ใช่เพราะเขาเริ่มลำบากจากการไม่มีงานเท่านั้น แต่คือผลกระทบต่อหลายชีวิตที่เขาต้องดูแล และต้นเหตุคือการมี AI เข้ามาแทนที่และมันคือสิ่งที่ทำให้มันซูเจ็บปวดหัวใจที่สุด เพราะงานที่เขารักและดูแลใส่ใจมาตลอด 25 ปี มันแทบจะเป็นทุกอย่างในชีวิตของเขา 

25 ปีในการเรียนรู้, 25 ปีแห่งความล้มเหลวและเริ่มใหม่, 25 ปีแห่งความรักในการผลิตเนื้อสัมผัสกระดาษดี ๆ และมันคือ 25 ปีที่เขาทำงานเยี่ยงทาส สิ่งที่มันซูรู้สึกคือความแค้น เพราะการโดนเลิกจ้าง ครั้งเดียวมันกระทบทุกอย่างในชีวิตของเขา แต่แล้วเขาทำอะไรได้บ้างล่ะ ? ในเมื่อเขาไม่สามารถต่อต้านการเข้ามาของ AI ได้ สิ่งเดียวที่เขาทำได้ก็คือต้องกำจัดคนที่จะมาแย่งตำแหน่งที่เขาควรจะได้รับหรือเปล่า ? ก็มันไม่มีทางเลือกนี่ (No Other Choice)

นวัตกรรม AI ถูกนำเสนอว่าเป็นความก้าวหน้า แต่สำหรับชนชั้นแรงงานอย่างมันซู มันคือ ‘หายนะ’ ที่ถูกใช้เป็นเครื่องมือของนายทุนในการลดต้นทุนและเพิ่มผลกำไร มันซูไม่ได้เกลียด AI แต่เกลียดระบบที่ใช้ AI มาแทนที่คุณค่าของประสบการณ์ 25 ปีต่างหาก

​​มันซูไม่ได้เป็นแค่คนตกงานแต่เขาคือตัวแทนของ ‘ชนชั้นกลาง’ ที่เคยเชื่อในระบบที่ว่า ‘ทำงานหนัก ซื่อสัตย์ และมีประสบการณ์ คุณจะมีหลักประกันในชีวิต’ การเข้ามาของ AI คือการทำลายความเชื่อนั้น และผลักเขาลงไปสู่ ‘ชนชั้นล่าง’ ที่ต้องดิ้นรนเอาตัวรอดอย่างสิ้นหวัง

ประเด็นนี้น่าสนใจ เพราะว่าในยุคที่ AI กำลังแย่งงานเราทุกคนอย่างช้า ๆ คนที่ได้ประโยชน์สูงสุดคือนายทุนอยู่แล้ว เพราะ AI ในหลาย ๆ บริบทของการใช้งานทั้งแม่นยำ และรวดเร็วกว่ามนุษย์ แต่ในมุมของคนที่ ‘ทำงาน’ จริง ๆ โดยเฉพาะคนที่ทำงานมานานอย่างมันซู การเข้ามาแทนที่ของ AI เป็นความขัดแย้งเชิงโครงสร้าง แต่ก็ต้องยอมรับว่านี่คือปัญหาที่เราทุกคนต้องเจอ

AI กำลังผลักดันให้เราอยากเก่งขึ้น หรือกำลังฆ่าเรากันแน่ ? 

ตลอดเรื่องเราจะได้เห็นความทะเยอทะยานของมันซู แบบที่มนุษย์ชนชั้นแรงงานคนหนึ่งจะสามารถทำได้ เพื่อให้ได้สิ่งที่เขาต้องการ ไม่ว่าจะเป็นการติดตามคู่แข่งแบบใกล้ชิด คอยมองเส้นทางและหาจังหวะ ‘กำจัด’ อย่างแนบเนียนและไม่โดนสาวมาถึงตัวเอง เขาทำทุกวิถีทางเพื่อความอยู่รอดของตัวเองและครอบครัว ผู้กำกับ (ปาร์ค ชาน วุค) เล่นกับความมืดภายในจิตใจของมนุษย์ได้อย่างดิบเถื่อน

ในเรื่องมันซูสามารถกำจัดคู่แข่งของเขาได้ทุกคน แต่ในห้วงจิตใจความเป็นมนุษย์ของมันซู ทุกครั้งที่เขาได้เจอกับคู่แข่งแต่ละคนมันทำให้แผนการของเขาเกือบจะล้มเหลว เพราะทุกคนไม่ได้ต่างจากเขาเลย ทุกคนรักในการผลิตกระดาษเหมือนกัน โดนเลิกจ้างเหมือนกัน มีครอบครัวเหมือนกัน และพยายามหางานทำเพื่อให้มีรายได้มาจุนเจือครอบครัวเหมือน ๆ กัน จุดนี้ตอกย้ำว่าภายใต้แรงกดดันของทุนนิยม มนุษย์ถูกบีบให้ต้องทิ้ง ‘ความเห็นอกเห็นใจ’ เพื่อความอยู่รอด

น่าคิดว่าการเข้ามาของ AI ในโลกที่ทุกอย่างเป็นทุนนิยม อาจทำให้ชนชั้นแรงงานหรือชั้นกลางมีชีวิตที่ลำบากกว่าเหล่านายทุน และนายทุนเองก็คงไม่หันมาสนใจกลุ่มคนที่ ‘ไร้ประโยชน์’ อย่างชนชั้นกลาง หรือชนชั้นแรงงานอยู่แล้ว พวกเขาสนใจแค่ผลประกอบการ การลดต้นทุนเท่านั้น เผลอ ๆ อาจมองว่าการเลิกจ้างเป็นการเตือนสติให้ชนชั้นแรงงานได้คิดและหาแนวทางพัฒนาตนเองด้วยซ้ำ เพียงแต่ในมุมมองของคนชนชั้นแรงงานมันไม่ได้ง่ายขนาดนั้น 

มนุษย์ผู้เหลือรอดคนสุดท้าย

ภาพยนตร์เรื่องนี้จบด้วยมันซูได้ตำแหน่งที่เขาต้องการในบริษัทผลิตกระดาษขนาดใหญ่เพียงบริษัทเดียวที่กำลังเติบโตอย่างก้าวกระโดด ครอบครัวกลับมาใช้ชีวิตปกติ แต่การทำงานของเขาเปลี่ยนไปเพราะมันไม่ใช่การสั่งลูกน้องทำงานอีกต่อไป แค่เป็นการสอดส่องและควบคุมการทำงานของเครื่องจักร AI แม้มันซูจะ ‘ชนะ’ แต่เขาได้ตำแหน่งที่ว่างเปล่า การทำงานของเขาคือการเฝ้าระวังเครื่องจักร คือการบริหารให้นายทุนได้กำไรสูงสุด ไม่ใช่การผลิตกระดาษด้วยความรักแบบที่เขาเคยทำมาตลอด 25 ปี

ความโดดเดี่ยวในการทำงานที่ยิ่งใหญ่ แต่ใช้แรงงานเพียงคนเดียว คอยควบคุมเครื่องจักรขนาดมหึมาที่กำลังทำงาน เป็นภาพที่บอกเล่าการเติบโตของ AI ท่ามกลางทุนนิยม และหนึ่งคนที่ดินรนเอาตัวรอดทุกทาง รวมถึงการ ‘ฆ่า’ เพื่อนมนุษย์ ซึ่งเป็นสัญลักษณ์เตือนใจถึงราคาที่ต้องจ่ายเพื่อเอาชีวิตรอดภายใต้ระบบนี้ 

ในยุคที่ AI กำลังกลืนกินอาชีพของเราไปอย่างช้า ๆ และนายทุนคือผู้เก็บเกี่ยวผลประโยชน์สูงสุด หากคุณถูกบีบให้เหลือทางเลือกเดียวในการปกป้องครอบครัวและคุณค่าในตนเอง คุณจะยอมก้าวข้ามเส้นทางศีลธรรมแบบมันซู หรือคุณจะหันไปต่อสู้กับ ‘ระบบ’ ที่เป็นผู้สร้าง AI ขึ้นมาแทน ?