นอกเหนือจากปกอัลบั้มที่มีสี่เต่าทอง ‘เดอะ บีทเทิลส์ (The Beatles)’ กำลังเดินข้ามทางม้าลายที่กลายเป็นที่จดจำแล้ว ‘Abbey Road’ อัลบั้มที่มีการบันทึกเสียงเป็นชุดสุดท้ายของเดอะ บีทเทิลส์ (แต่ออกวางจำหน่ายก่อน ‘Let It Be’ ) ยังมีอีกสิ่งหนึ่งที่ถือได้ว่าเป็นประวัติศาสตร์ของวงและของวงการดนตรีนั่นก็คือการมีเพลงลับ (hidden track) ซ่อนอยู่ท้ายอัลบั้มซึ่งมีชื่อว่า “Her Majesty’” บทเพลงความยาว 25  วินาทีที่เปิดโพล่งมาด้วยคอร์ดแปร่ง ๆ และตามด้วยท่วงทำนองสบาย ๆ สไตล์อะคูสติกโฟล์กพร้อมเนื้อร้องที่กล่าวถึง ‘Her Majesty’ ที่สุดมินิมอลทำให้เราไม่แน่ใจในความหมายที่แท้จริง และถึงแม้ว่าเพลงนี้จะสั้นแต่ด้วยความเซอร์และความงามจึงทำให้บทเพลงนี้เป็นหนึ่งในสิ่งที่น่าจดจำจากอัลบั้ม Abbey Road

ปกอัลบั้ม Abbey Road

“Her Majesty” เกิดขึ้นจากการบันทึกเสียง 3 เทคในวันที่ 2 กรกฎาคมปี 1969 (ถ้าฟัง Abbey Road เวอร์ชัน Super Deluxe Edition จะมีให้ฟังทั้งสามเทคเลย) แรกเริ่มเดิมทีเพลงนี้ทางวงตั้งใจที่จะใส่เอาไว้ตรงกลางในช่วงเมดเลย์ระหว่างเพลง  “Mean Mr. Mustard” และ “Polythene Pam” แต่ว่าพอ พอล แม็กคาร์ตนีย์ (Paul McCartney ) ได้ฟังบทเพลง “Her Majesty” ที่วางอยู่ตรงตำแหน่งนั้นแล้วรู้สึกว่ามันไม่เข้ากันเลย ก็เลยบอกให้ จอห์น เคอร์แลนเดอร์ (John Kurlander) เอ็นจิเนียร์ของอัลบั้มนี้ ตัดเอาเพลงนี้ทิ้งออกไปซะ ซึ่งเคอร์แลนเดอร์ได้อธิบายว่าจริง ๆ แล้วทาง EMI มีนโยบายไม่ให้ทิ้งเทปบันทึกเสียงใด ๆ ของเดอะ บีทเทิลส์เลย แต่ก็เสียไม่ได้เพราะว่าแม็กคาร์ตนีย์รู้สึกไม่ชอบใจก็เลยจัดให้ตามนั้น พอแม็กคาร์ตนีย์ไม่อยู่เคอร์แลนเดอร์ก็เลยตัดสินใจเก็บเทปที่ทิ้งกองอยู่บนพื้นเอาขึ้นมาต่อใหม่ไว้ข้างท้ายของเทปทั้งหมด และในวันต่อมาเมื่อแม็กคาร์ตนีย์ได้ยินบทเพลงนี้ซึ่งถูกวางเอาไว้ในตำแหน่งท้ายสุดของอัลบั้ม เฮียก็รู้สึกรักมันปลื้มมันในทันทีเลยตัดสินใจว่ามันควรที่จะอยู่ตรงนี้ อยู่ที่นี่ และอยู่กับอัลบั้ม Abbey Road นี้ต่อไป

หากใครได้ฟัง “Her Majesty” จะพบว่ามันเปิดด้วยโน้ตในคอร์ดประหลาด ๆ โพล่งขึ้นมาทำให้ตกใจในตอนต้นเพลง ซึ่งไม่ต้องแปลกใจเลยเพราะว่าคอร์ดนี้มาจากคอร์ดสุดท้ายของเพลง “Mean Mr. Mustard”  ซึ่งแต่เดิมวางอยู่ก่อนหน้าเพลง “Her Majesty” นอกจากนี้เพลง “Her Majesty” ยังไม่มีคอร์ดสุดท้ายอีกเพราะว่าคอร์ดสุดท้ายของเพลงนั้นไปอยู่กับต้นเพลง “Polythene Pam” ซึ่งแต่เดิมวางอยู่ท้ายเพลง “Her Majesty” นั่นเองแต่ถึงแม้ว่า “Her  Majesty” จะถูกติดรวมเข้าไปในอัลบั้ม Abbey Road แต่ก็ไม่ได้ถูกบรรจุไว้ในแทร็กลิสต์นั่นทำให้ “Her  Majesty” กลายเป็นบทเพลงลับเพลงแรกที่ปรากฏอยู่ในอัลบั้มของเดอะ บีทเทิลส์และในอัลบั้มของประวัติศาสตร์วงการดนตรีร็อก

Her Majesty’s a pretty nice girl

But she doesn’t have a lot to say

Her Majesty’s a pretty nice girl

But she changes from day to day

I want to tell her that I love her a lot

But I gotta get a belly full of wine

Her Majesty’s a pretty nice girl

Someday I’m going to make her mine, oh yeah

Someday I’m going to make her mine

สำหรับเนื้อเพลงของเพลงนี้ คิดว่าหลายคนน่าจะคิดว่ามันเป็นเพลงรักด้วยท่วงทำนองกรุ๊งกริ๊งของมันและเนื้อร้องที่พูดถึงสาวน่ารักคนหนึ่งที่ถูกเรียกว่า ‘Her Majesty’ ซึ่งอาจจะเป็นการยกย่องผู้หญิงคนหนึ่งที่สง่างามราวกับราชินี แต่แท้จริงแล้วแม็กคาร์ตนีย์ได้อธิบายถึงความหมายของเพลงนี้ไว้ว่า “จริง ๆ แล้วมันค่อนข้างตลกเพราะว่ามันเป็นเพลงที่พูดถึงระบอบราชาธิปไตยด้วยน้ำเสียงที่ไม่ค่อยจะให้ความเคารพสักเท่าไหร่ แถมจะออกแนวเสียดสีด้วย แต่จริง ๆ แล้วมันก็เกือบจะเป็นเพลงรักที่ส่งถึงพระราชินีนะ”

ด้วยความมินิมอลประหลาดแต่ลงตัวจึงทำให้ “Her Majesty” กลายเป็นแทร็กลับอันดับหนึ่งในตำนานของประวัติศาสตร์ดนตรีร็อกที่น่าจดจำไปตลอดกาล

ที่มา

faroutmagazine / esquire / wpr

พิสูจน์อักษร : สุชยา เกษจำรัส